คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
ความสำเร็จจากการคว้าแชมป์ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ของทีมชาติไทย ทำให้ผมต้องหันกลับมามองผู้ชายชื่อ เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ในฐานะผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ดังที่สุดในประเทศคนนี้ใหม่ ลองย้อนก่อนหน้านี้มีข้อความส่งผ่านมาถึงผม ว่าอยากให้ทีม MGR Sport ไปสัมภาษณ์ผู้ชายคนนี้ เนื่องด้วยว่าตอนนั้น "พี่เกษม" แกอยากเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย (อีกครั้ง) หลังจากที่เคยถนัดกับการทำทีมฟุตบอลชุดเล็ก ชุดเด็ก ชุดเยาวชนมาตลอดระยะหลัง แต่คราวนี้อยากเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติชุดใหญ่เลย จึงออกปากไหว้วานน้องๆ ไปพูดคุยด้วย
ในความทรงจำยังคงนึกถึงได้ดีเสอมว่า "ผมงงมาก" ว่าอดีตผู้จัดการทีมชาติ คนนี้ไม่เชยระเบิดแล้วเหรอ หากว่าจะกลับมาคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ แต่ก็เป็นเพราะไม่อยากขัดใจกับคนขอร้อง พอเอาเข้าจริงก็ได้เห็นทัศนคติหลายอย่างเป็นเชิงบวกจากผู้ชายคนนี้ ตอนนั้น "พี่เกษม" เล่าให้ฟังว่าตัวเองเป็นคนรักฟุตบอลมาก มีความสุขยามได้ทำงานรับใช้ชาติ การทำทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง ไม่ใช่แค่เพียงมีเงินอย่างเดียว หากแต่ต้องมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ต้องทำตัวกลมกลืนกับผู้เล่น เป็นที่ปรึกษายามนักกีฬาต้องการคำอธิบายเรื่องต่างๆ ต้องมีความคิดเป็นบวก ต้องสร้างความเชื่อมั่น และที่สำคัญต้องไม่มีคำว่า "ไม่" เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นนักฟุตบอลจะเสียกำลังใจ
ยิ่งฟังก็ยิ่งเคลิ้ม ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักและคิดอยู่เสมอว่า "มันใช่เหรอ" หากว่าทีมชาติไทยตั้งเขาคนนี้มาเป็นผู้จัดการทีมจริง เพราะคนก่อนหน้านี้ก็เป็น "บิ๊กโต้ง" กิตติรัตน์ ณ ระนอง แม้ไม่ได้ชื่นชอบ ชื่นชมเป็นการส่วนตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ "พี่โต้ง" แกเป็นคนใจถึง พึ่งได้ และรักฟุตบอลจริงๆ อีกทั้งยังเป็นที่รักของกองเชียร์พันธุ์แท้อีกจำนวนหนึ่งด้วย แต่ทีมชุดนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จากนั้นไม่นาน "พี่เกษม" ก็ได้เป็นผู้จัดการทีมชาติไทยในทัวร์นาเมนต์พิเศษ "แม่โขง คัพ" คุมทีมชาติไทยไปคว้าแชมป์ที่กัมพูชา
การคุมทีมชุดซีเกมส์ 2013 ที่ประเทศพม่า ของ "บิ๊กโต้ง" ภายใต้การนำทัพของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ในฐานะเฮดโค้ชก็ไม่ทำให้ผิดหวัง คว้าแชมป์มาครอง ก่อนจะเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น "พี่เกษม" ดูแลชุดเอเชียนเกมส์ ที่เมืองอินชอน เกาหลีใต้ ทีมชาติไทยแม้ไม่ได้แชมป์ แต่การผลักดันดาวรุ่งมาไกลถึงอันดับ 4 ก็น่าพอใจ
จะว่าไปแล้วถือเป็นช่วงขาขึ้นของทีมชาติไทยจริงๆ นักฟุตบอลดาวรุ่งต่างก็ฟอร์มดีจากระดับสโมสรในลีก ซึ่งตัวกุนซืออย่าง "ซิโก้" ก็เลือกที่จะเน้นผู้เล่นอายุน้อยเป็นหลักไม่เช่นนั้นป่านนี้เราคงได้เห็นแต่นักฟุตบอลหน้าเดิม เล่นแบบเดิมๆ คนเราบางทีเมื่ออายุมาก สั่งสอนบางอย่างก็ยาก ให้แก้ไขข้อผิดพลาด หรือปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นฟุตบอลตามแท็คติกของโค้ชก็ลำบาก ดังนั้นครั้งนี้เปรียบได้กับการล้างไพ่ทีมชาติไทย ซึ่งเสี่ยงมากแต่ก็ผ่านมาได้ในที่สุด ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวนักเตะ ส่วนหนึ่งก็มาจากโค้ช และอีกส่วนก็ต้องชื่นชมการจัดการของผู้จัดการทีมด้วย
วันนี้แม้ "พี่เกษม" จะประกาศวางมือจากการทำทีมฟุตบอลทีมชาติไทยแล้ว แต่เชื่อว่าสุดท้ายก็คงเป็นความประทับใจที่ฝากไว้ให้แฟนฟุตบอลได้กลับมาเชื่อมั่นในนักกีฬาทีม "ช้างศึก" อีกครั้ง ใครเล่าจะกล้าลืมเขา...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
ความสำเร็จจากการคว้าแชมป์ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ของทีมชาติไทย ทำให้ผมต้องหันกลับมามองผู้ชายชื่อ เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ในฐานะผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ดังที่สุดในประเทศคนนี้ใหม่ ลองย้อนก่อนหน้านี้มีข้อความส่งผ่านมาถึงผม ว่าอยากให้ทีม MGR Sport ไปสัมภาษณ์ผู้ชายคนนี้ เนื่องด้วยว่าตอนนั้น "พี่เกษม" แกอยากเป็นผู้จัดการทีมชาติไทย (อีกครั้ง) หลังจากที่เคยถนัดกับการทำทีมฟุตบอลชุดเล็ก ชุดเด็ก ชุดเยาวชนมาตลอดระยะหลัง แต่คราวนี้อยากเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติชุดใหญ่เลย จึงออกปากไหว้วานน้องๆ ไปพูดคุยด้วย
ในความทรงจำยังคงนึกถึงได้ดีเสอมว่า "ผมงงมาก" ว่าอดีตผู้จัดการทีมชาติ คนนี้ไม่เชยระเบิดแล้วเหรอ หากว่าจะกลับมาคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ แต่ก็เป็นเพราะไม่อยากขัดใจกับคนขอร้อง พอเอาเข้าจริงก็ได้เห็นทัศนคติหลายอย่างเป็นเชิงบวกจากผู้ชายคนนี้ ตอนนั้น "พี่เกษม" เล่าให้ฟังว่าตัวเองเป็นคนรักฟุตบอลมาก มีความสุขยามได้ทำงานรับใช้ชาติ การทำทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง ไม่ใช่แค่เพียงมีเงินอย่างเดียว หากแต่ต้องมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ต้องทำตัวกลมกลืนกับผู้เล่น เป็นที่ปรึกษายามนักกีฬาต้องการคำอธิบายเรื่องต่างๆ ต้องมีความคิดเป็นบวก ต้องสร้างความเชื่อมั่น และที่สำคัญต้องไม่มีคำว่า "ไม่" เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นนักฟุตบอลจะเสียกำลังใจ
ยิ่งฟังก็ยิ่งเคลิ้ม ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักและคิดอยู่เสมอว่า "มันใช่เหรอ" หากว่าทีมชาติไทยตั้งเขาคนนี้มาเป็นผู้จัดการทีมจริง เพราะคนก่อนหน้านี้ก็เป็น "บิ๊กโต้ง" กิตติรัตน์ ณ ระนอง แม้ไม่ได้ชื่นชอบ ชื่นชมเป็นการส่วนตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ "พี่โต้ง" แกเป็นคนใจถึง พึ่งได้ และรักฟุตบอลจริงๆ อีกทั้งยังเป็นที่รักของกองเชียร์พันธุ์แท้อีกจำนวนหนึ่งด้วย แต่ทีมชุดนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จากนั้นไม่นาน "พี่เกษม" ก็ได้เป็นผู้จัดการทีมชาติไทยในทัวร์นาเมนต์พิเศษ "แม่โขง คัพ" คุมทีมชาติไทยไปคว้าแชมป์ที่กัมพูชา
การคุมทีมชุดซีเกมส์ 2013 ที่ประเทศพม่า ของ "บิ๊กโต้ง" ภายใต้การนำทัพของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ในฐานะเฮดโค้ชก็ไม่ทำให้ผิดหวัง คว้าแชมป์มาครอง ก่อนจะเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น "พี่เกษม" ดูแลชุดเอเชียนเกมส์ ที่เมืองอินชอน เกาหลีใต้ ทีมชาติไทยแม้ไม่ได้แชมป์ แต่การผลักดันดาวรุ่งมาไกลถึงอันดับ 4 ก็น่าพอใจ
จะว่าไปแล้วถือเป็นช่วงขาขึ้นของทีมชาติไทยจริงๆ นักฟุตบอลดาวรุ่งต่างก็ฟอร์มดีจากระดับสโมสรในลีก ซึ่งตัวกุนซืออย่าง "ซิโก้" ก็เลือกที่จะเน้นผู้เล่นอายุน้อยเป็นหลักไม่เช่นนั้นป่านนี้เราคงได้เห็นแต่นักฟุตบอลหน้าเดิม เล่นแบบเดิมๆ คนเราบางทีเมื่ออายุมาก สั่งสอนบางอย่างก็ยาก ให้แก้ไขข้อผิดพลาด หรือปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นฟุตบอลตามแท็คติกของโค้ชก็ลำบาก ดังนั้นครั้งนี้เปรียบได้กับการล้างไพ่ทีมชาติไทย ซึ่งเสี่ยงมากแต่ก็ผ่านมาได้ในที่สุด ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวนักเตะ ส่วนหนึ่งก็มาจากโค้ช และอีกส่วนก็ต้องชื่นชมการจัดการของผู้จัดการทีมด้วย
วันนี้แม้ "พี่เกษม" จะประกาศวางมือจากการทำทีมฟุตบอลทีมชาติไทยแล้ว แต่เชื่อว่าสุดท้ายก็คงเป็นความประทับใจที่ฝากไว้ให้แฟนฟุตบอลได้กลับมาเชื่อมั่นในนักกีฬาทีม "ช้างศึก" อีกครั้ง ใครเล่าจะกล้าลืมเขา...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
