คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่การกีฬาแห่งประเทศไทย มีความคิดที่จะทำโทรทัศน์กีฬา โดยนำเสนอเนื้อหาหลักไปที่เรื่องราวข่าวสารในแวดวงกีฬาตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ผมได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกดีใจว่าต่อไปเราคงสามารถชมรายการถ่ายทอดสดกีฬาผ่านช่องฟรีทีวีโดยไม่ต้องเสียสตางค์แบบโทรทัศน์บอกรับสมาชิกที่ต้องควักกระเป๋าแต่ละเดือนก็ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริงๆ พอก่อตั้งไปตั้งแต่ปี 2552 มาถึงตอนนี้เราคงได้เห็นแล้วว่าโทรทัศน์กีฬาช่องนี้ตอบโจทย์แฟนกีฬาในประเทศได้น้อยมาก
เนื่องจากไม่เคยมีใครเห็นทีวีช่องนี้ถ่ายทอดสดกีฬาอะไรที่เป็นกระแสหลักเลย หลังจากโดน ทรูวิชั่นส์ ยึดลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียร์ลีกแล้วไม่ปล่อยให้ช่องอื่นเลย ขณะที่เนื้อหายังวนเวียนอยู่ที่รายการวาไรตี้กีฬาเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนตัวผมว่าเราอาจเดินมาผิดทางสำหรับช่องกีฬา 24 ชั่วโมงนั้น แต่เมื่อประเทศของเรามีคณะกรรมการ กสทช. เข้ามาจัดการทั้งสื่อทีวี วิทยุ ทำให้เริ่มมีความหวังโดยเฉพาะการจัดประมูลช่องทีวีดิจิตอล ซึ่งส่งผลให้ประเทศของเรามีช่องทีวีจำนวนมหาศาลถึง 48 ช่อง
ซึ่งทั้งหมดนั้นแบ่งเป็น ช่องสาธารณะ 12 ช่อง (แต่ช่วงแรกมี 4 ช่อง), ช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว 3 ช่อง, ช่องข่าวสารและสาระ 7 ช่อง, ช่องวาไรตี้ (เอสดี) 7 ช่อง, ช่องวาไรตี้ (เฮชดี) 7 ช่อง และ ช่องบริการชุมชน 12 ช่อง จบครับ ไม่มีช่องกีฬาโดยเฉพาะเลย
โดยคำอธิบายเรื่องนี้ก็คือ มีกฎมัสต์แฮฟ ที่คนไทยต้องได้ดู 7 รายการกีฬาโดยไม่ต้องเสียเงินอยู่แล้ว ประกอบด้วย ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชียนเกมส์, เอเชียนพาราเกมส์, โอลิมปิก, พาราลิมปิก และ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย นอกจากนี้ ยังบังคับห้ามผูกขาดต้องเสนอในฟรีทีวี 7 ประเภท อาทิ กีฬามหาวิทยาลัยโลก, คอนเฟเดอเรชันส์ คัพ, เอเชียนคัพ รอบสุดท้ายและรอบที่มีทีมชาติไทย, ฟุตบอลชิงแชมป์โลกและฟุตบอลชิงแชมป์ เอเชีย, เซปักตะกร้อชิงแชมป์โลก, วอลเลย์บอลชิงแชมป์โลก และ เทนนิสเดวิสคัพ
ทั้งหมดที่กล่าวมาดูเหมือนว่าจะพอเพียง แต่ทุกวันนี้มหกรรมกีฬาต่างๆ มันมีเยอะ การที่จะให้มีโทรทัศน์กีฬาช่องใดช่องเดียว แล้วกำเงินไปซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาทุกประเภทมันไม่ไหว อันนี้พอเข้าใจ แค่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ รายการเดียว 3 ฤดูกาล ก็ล่อไปหมื่นล้านแล้ว (ไม่นับว่าขาดทุนไปเท่าไหร่) คอกีฬาไทยหัวใจชอบของฟรีก็ต้องทำใจกันหน่อย
ขณะที่ช่องทีวีดิจิตอลต่างๆ ที่ผุดกันมาจำนวนมาก ซึ่งเมื่อดูจากเรตติ้งรายการแล้ว ผู้บริหารหลายรายคงอยากเอาเท้ามาก่ายหน้าผากกันบ้าง แต่อย่าหาว่าสอนหนังสือให้สังฆราชเลย หากว่าจะจับมือกันทุ่มซื้อลิขสิทธิ์รายการกีฬาใหญ่ๆ ที่คนไทยสนใจกันมาถ่ายทอดสดให้ชมก็น่าจะช่วยกระชากเรตติ้งขึ้นไปได้บ้าง ไม่เชื่อลองไปดูเรตติ้ง ช่อง 8 อาร์เอส ช่วงฟุตบอลโลก 2014 นั่นเป็นไร ถึงขนาดโดดไปทาบกับช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้เลย อีกตัวอย่างที่น่าสนใจในกรณีของ ช่อง โมโน เองก็หันมาให้ความสำคัญกับกีฬา ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลนัดพิเศษ ตำนานลิเวอร์พูล - ตำนานดรีมทีมชาติไทย ก็ยังหยิบยกมาถ่ายทอดสด รวมถึงยิงสดการแข่งขันไทยแลนด์ บาสเกตบอล ลีก 2014 ก็ได้ใจคอยัดห่วงไปไม่น้อย เห็นแบบนี้แล้วทีวีดิจิตอลทั้งหลายจะเมินหน้าหนีแฟนกีฬาได้ลงเชียวหรือ?
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่การกีฬาแห่งประเทศไทย มีความคิดที่จะทำโทรทัศน์กีฬา โดยนำเสนอเนื้อหาหลักไปที่เรื่องราวข่าวสารในแวดวงกีฬาตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ผมได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกดีใจว่าต่อไปเราคงสามารถชมรายการถ่ายทอดสดกีฬาผ่านช่องฟรีทีวีโดยไม่ต้องเสียสตางค์แบบโทรทัศน์บอกรับสมาชิกที่ต้องควักกระเป๋าแต่ละเดือนก็ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริงๆ พอก่อตั้งไปตั้งแต่ปี 2552 มาถึงตอนนี้เราคงได้เห็นแล้วว่าโทรทัศน์กีฬาช่องนี้ตอบโจทย์แฟนกีฬาในประเทศได้น้อยมาก
เนื่องจากไม่เคยมีใครเห็นทีวีช่องนี้ถ่ายทอดสดกีฬาอะไรที่เป็นกระแสหลักเลย หลังจากโดน ทรูวิชั่นส์ ยึดลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียร์ลีกแล้วไม่ปล่อยให้ช่องอื่นเลย ขณะที่เนื้อหายังวนเวียนอยู่ที่รายการวาไรตี้กีฬาเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนตัวผมว่าเราอาจเดินมาผิดทางสำหรับช่องกีฬา 24 ชั่วโมงนั้น แต่เมื่อประเทศของเรามีคณะกรรมการ กสทช. เข้ามาจัดการทั้งสื่อทีวี วิทยุ ทำให้เริ่มมีความหวังโดยเฉพาะการจัดประมูลช่องทีวีดิจิตอล ซึ่งส่งผลให้ประเทศของเรามีช่องทีวีจำนวนมหาศาลถึง 48 ช่อง
ซึ่งทั้งหมดนั้นแบ่งเป็น ช่องสาธารณะ 12 ช่อง (แต่ช่วงแรกมี 4 ช่อง), ช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว 3 ช่อง, ช่องข่าวสารและสาระ 7 ช่อง, ช่องวาไรตี้ (เอสดี) 7 ช่อง, ช่องวาไรตี้ (เฮชดี) 7 ช่อง และ ช่องบริการชุมชน 12 ช่อง จบครับ ไม่มีช่องกีฬาโดยเฉพาะเลย
โดยคำอธิบายเรื่องนี้ก็คือ มีกฎมัสต์แฮฟ ที่คนไทยต้องได้ดู 7 รายการกีฬาโดยไม่ต้องเสียเงินอยู่แล้ว ประกอบด้วย ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชียนเกมส์, เอเชียนพาราเกมส์, โอลิมปิก, พาราลิมปิก และ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย นอกจากนี้ ยังบังคับห้ามผูกขาดต้องเสนอในฟรีทีวี 7 ประเภท อาทิ กีฬามหาวิทยาลัยโลก, คอนเฟเดอเรชันส์ คัพ, เอเชียนคัพ รอบสุดท้ายและรอบที่มีทีมชาติไทย, ฟุตบอลชิงแชมป์โลกและฟุตบอลชิงแชมป์ เอเชีย, เซปักตะกร้อชิงแชมป์โลก, วอลเลย์บอลชิงแชมป์โลก และ เทนนิสเดวิสคัพ
ทั้งหมดที่กล่าวมาดูเหมือนว่าจะพอเพียง แต่ทุกวันนี้มหกรรมกีฬาต่างๆ มันมีเยอะ การที่จะให้มีโทรทัศน์กีฬาช่องใดช่องเดียว แล้วกำเงินไปซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาทุกประเภทมันไม่ไหว อันนี้พอเข้าใจ แค่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ รายการเดียว 3 ฤดูกาล ก็ล่อไปหมื่นล้านแล้ว (ไม่นับว่าขาดทุนไปเท่าไหร่) คอกีฬาไทยหัวใจชอบของฟรีก็ต้องทำใจกันหน่อย
ขณะที่ช่องทีวีดิจิตอลต่างๆ ที่ผุดกันมาจำนวนมาก ซึ่งเมื่อดูจากเรตติ้งรายการแล้ว ผู้บริหารหลายรายคงอยากเอาเท้ามาก่ายหน้าผากกันบ้าง แต่อย่าหาว่าสอนหนังสือให้สังฆราชเลย หากว่าจะจับมือกันทุ่มซื้อลิขสิทธิ์รายการกีฬาใหญ่ๆ ที่คนไทยสนใจกันมาถ่ายทอดสดให้ชมก็น่าจะช่วยกระชากเรตติ้งขึ้นไปได้บ้าง ไม่เชื่อลองไปดูเรตติ้ง ช่อง 8 อาร์เอส ช่วงฟุตบอลโลก 2014 นั่นเป็นไร ถึงขนาดโดดไปทาบกับช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้เลย อีกตัวอย่างที่น่าสนใจในกรณีของ ช่อง โมโน เองก็หันมาให้ความสำคัญกับกีฬา ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลนัดพิเศษ ตำนานลิเวอร์พูล - ตำนานดรีมทีมชาติไทย ก็ยังหยิบยกมาถ่ายทอดสด รวมถึงยิงสดการแข่งขันไทยแลนด์ บาสเกตบอล ลีก 2014 ก็ได้ใจคอยัดห่วงไปไม่น้อย เห็นแบบนี้แล้วทีวีดิจิตอลทั้งหลายจะเมินหน้าหนีแฟนกีฬาได้ลงเชียวหรือ?
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *