คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
แล้วก็ถึงฝั่งฝันเสียทีสำหรับ “บีจี” บางกอกกล๊าส เอฟซี ที่ขวัญใจมหาชนย่านรังสิต-ปทุมธานี หลังผงาดคว่ำ ชลบุรี เอฟซี 1-0 เถลิงบัลลังก์แชมป์ฟุตบอลถ้วย มูลนิธิไทยคม เอฟ เอ คัพ 2014 ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นแชมป์ระดับเมเจอร์ใบแรกตั้งแต่ซื้อสิทธิ์จาก ธนาคารกรุงไทย เมื่อปี 2009
โดยก่อนเปิดฤดูกาลที่ผ่านมา บางกอกกล๊าส ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม กุนซือมากประสบการณ์ ถูกจับตาจากหลายฝ่ายว่ามีลุ้นที่จะประสบความสำเร็จหลังปีก่อนพาทีมจบที่ 5 ของตาราง พร้อมกรุยทางเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ มูลนิธิไทยคม เอฟ เอ คัพ ก่อนปราชัยต่อ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปอย่างสูสี แถมยังออกสตาร์ทด้วยฟอร์มระดับมาสเตอร์พีซยิงถล่มทลาย
แต่ที่ไหนได้เล่นไปสักพักกลับเข้าอีหรอบเดิม ไม่สามารถยืนระยะได้จนทำให้อันดับรูดกราว และในที่สุดก็ต้องแยกทางกับเทรนเนอร์ดีกรีแชมป์ไทย พรีเมียร์ ลีก 2 สมัย ก่อนจะตามด้วยตัดหาง “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย กัปตันทีมตัวเก่ง ที่แสดงทัศนะไม่ตรงกับนโยบายของทีมออกไป และตั้ง “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด ลูกหม้อของทีมเข้ามาทำแทน ซึ่ง ณ เวลานั้นใครก็คิดว่าคงยากที่จะกลับมาเพราะปัญหามากมายเหลือเกินทั้งในและนอกสนาม
สุดท้ายเหมือนเป็นการล้างไพ่ใหม่ ทีมที่ไร้สตาร์ดีกรีสูงกลับผนึกกำลังกันได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งแข้งไทยและต่างชาติ แม้จะจบฤดูกาลที่อันดับ 11 แต่ก็ได้เข้าชิงฯฟุตบอลถ้วยรายการเดิมอีกครั้ง อีกทั้งเส้นทางที่ผ่านมาก็ล้มยักษ์ทั้งแชมป์เก่า “ปราสาทสายฟ้า” (ชนะจุดโทษ 5-3 หลังเสมอในเวลา 2-2) ต่อด้วย เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด (2-1) และ เชียงราย ยูไนเต็ด (จุดโทษ 5-4 หลังเสมอในเวลา 1-1) ก่อนจะปิดบัญชี “ฉลามชล” เป็นรายสุดท้าย
ซึ่งแชมป์นี้ต้องถือว่าเป็นโทรฟีแห่งการรอคอยขนานแท้ หลังจากที่ลงทุนลงแรงมามากมายแทบทุกปี จ้างโค้ชแพงก็แล้ว ดึงแข้งสตาร์ดังก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที มีเพียงแชมป์รายการพิเศษอย่าง ควีนส์คัพ กับ สิงค์โปร์ คัพ มาประดับตู้โชว์เมื่อปี 2010 เท่านั้นที่พอให้ชื่นใจ
ทั้งนี้ทั้งนั้นเครดิตสำคัญต้องซูฮกให้กับความอดทนไม่ย่อท้อของ ปวิณ ภิรมย์ภักดี ทายาทน้ำเมายี่ห้อดังในฐานะประธานสโมสร และ ศุภสิน ลีลาฤทธิ์ รองประธานทีม ที่ครุ่นคิดร่วมกันแก้ปัญหามานานหลายปี ถึงขนาดลงไปสั่งการด้วยตนเองเลยก็มี ก่อนจะมาผลิดอกออกผลในวันนี้ ที่สำคัญยังเป็นใบเบิกทางในการไปสัมผัสบรรยากาศฟุตบอลชิงถ้วยสโมสรเอเชีย “เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก” เป็นครั้งแรกของทีมในปีหน้าอีกด้วย ในรอบเพลย์ออฟ หากไทยได้สิทธิ์ไม่น้อยกว่าเดิม(1 บวก 2 ทีม)
โดยตอนนี้แม้จะเป็นมือใหม่แต่ “กระต่ายแก้ว” ก็ไม่รอช้าเริ่มมีการขยับขยายวางแผนเสริมแกร่งแล้วด้วยการดึง เลอันโดร เด โอลิเวียรา หอกแซมบ้าฟอร์มแรง ขากสิงห์ ท่าเรือ มาร่วมทีม รวมถึงตกเป็นข่าวกับ ริคาร์โด โรดริเกวซ อดีตกุนซือสแปนิชที่เพิ่งแยกทางกับ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี
ทุกอย่างกำลังก้าวเดินไปข้างหน้า พูดได้คำเดียวว่าจากนี้บอลไทยสนุกแน่นอน หลังจากที่แชมป์ผูกขาดกับ 2 มหาอำนาจอย่าง บุรีรัมย์ และ เมืองทอง มานาน วันนี้ทีมพระรองที่รอคอยถ้วยรางวัลมาประดับบารมีทั้ง “เดอะ แร็บบิท” และ บีอีซี เทโรศาสน(แชมป์โตโยต้า ลีก คัพ)ต่างพร้อมที่จะขึ้นมาท้าชิงเทียบรัศมีชนิดไม่เป็นรองกันแล้ว แต่หวังอย่างเดียวว่าอย่าให้มีเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ผิดแปลกธรรมชาติจากบางหน่วยงานเข้ามาทำให้เสียอารมณ์เลย
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
แล้วก็ถึงฝั่งฝันเสียทีสำหรับ “บีจี” บางกอกกล๊าส เอฟซี ที่ขวัญใจมหาชนย่านรังสิต-ปทุมธานี หลังผงาดคว่ำ ชลบุรี เอฟซี 1-0 เถลิงบัลลังก์แชมป์ฟุตบอลถ้วย มูลนิธิไทยคม เอฟ เอ คัพ 2014 ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นแชมป์ระดับเมเจอร์ใบแรกตั้งแต่ซื้อสิทธิ์จาก ธนาคารกรุงไทย เมื่อปี 2009
โดยก่อนเปิดฤดูกาลที่ผ่านมา บางกอกกล๊าส ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม กุนซือมากประสบการณ์ ถูกจับตาจากหลายฝ่ายว่ามีลุ้นที่จะประสบความสำเร็จหลังปีก่อนพาทีมจบที่ 5 ของตาราง พร้อมกรุยทางเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ มูลนิธิไทยคม เอฟ เอ คัพ ก่อนปราชัยต่อ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปอย่างสูสี แถมยังออกสตาร์ทด้วยฟอร์มระดับมาสเตอร์พีซยิงถล่มทลาย
แต่ที่ไหนได้เล่นไปสักพักกลับเข้าอีหรอบเดิม ไม่สามารถยืนระยะได้จนทำให้อันดับรูดกราว และในที่สุดก็ต้องแยกทางกับเทรนเนอร์ดีกรีแชมป์ไทย พรีเมียร์ ลีก 2 สมัย ก่อนจะตามด้วยตัดหาง “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย กัปตันทีมตัวเก่ง ที่แสดงทัศนะไม่ตรงกับนโยบายของทีมออกไป และตั้ง “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด ลูกหม้อของทีมเข้ามาทำแทน ซึ่ง ณ เวลานั้นใครก็คิดว่าคงยากที่จะกลับมาเพราะปัญหามากมายเหลือเกินทั้งในและนอกสนาม
สุดท้ายเหมือนเป็นการล้างไพ่ใหม่ ทีมที่ไร้สตาร์ดีกรีสูงกลับผนึกกำลังกันได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งแข้งไทยและต่างชาติ แม้จะจบฤดูกาลที่อันดับ 11 แต่ก็ได้เข้าชิงฯฟุตบอลถ้วยรายการเดิมอีกครั้ง อีกทั้งเส้นทางที่ผ่านมาก็ล้มยักษ์ทั้งแชมป์เก่า “ปราสาทสายฟ้า” (ชนะจุดโทษ 5-3 หลังเสมอในเวลา 2-2) ต่อด้วย เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด (2-1) และ เชียงราย ยูไนเต็ด (จุดโทษ 5-4 หลังเสมอในเวลา 1-1) ก่อนจะปิดบัญชี “ฉลามชล” เป็นรายสุดท้าย
ซึ่งแชมป์นี้ต้องถือว่าเป็นโทรฟีแห่งการรอคอยขนานแท้ หลังจากที่ลงทุนลงแรงมามากมายแทบทุกปี จ้างโค้ชแพงก็แล้ว ดึงแข้งสตาร์ดังก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที มีเพียงแชมป์รายการพิเศษอย่าง ควีนส์คัพ กับ สิงค์โปร์ คัพ มาประดับตู้โชว์เมื่อปี 2010 เท่านั้นที่พอให้ชื่นใจ
ทั้งนี้ทั้งนั้นเครดิตสำคัญต้องซูฮกให้กับความอดทนไม่ย่อท้อของ ปวิณ ภิรมย์ภักดี ทายาทน้ำเมายี่ห้อดังในฐานะประธานสโมสร และ ศุภสิน ลีลาฤทธิ์ รองประธานทีม ที่ครุ่นคิดร่วมกันแก้ปัญหามานานหลายปี ถึงขนาดลงไปสั่งการด้วยตนเองเลยก็มี ก่อนจะมาผลิดอกออกผลในวันนี้ ที่สำคัญยังเป็นใบเบิกทางในการไปสัมผัสบรรยากาศฟุตบอลชิงถ้วยสโมสรเอเชีย “เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก” เป็นครั้งแรกของทีมในปีหน้าอีกด้วย ในรอบเพลย์ออฟ หากไทยได้สิทธิ์ไม่น้อยกว่าเดิม(1 บวก 2 ทีม)
โดยตอนนี้แม้จะเป็นมือใหม่แต่ “กระต่ายแก้ว” ก็ไม่รอช้าเริ่มมีการขยับขยายวางแผนเสริมแกร่งแล้วด้วยการดึง เลอันโดร เด โอลิเวียรา หอกแซมบ้าฟอร์มแรง ขากสิงห์ ท่าเรือ มาร่วมทีม รวมถึงตกเป็นข่าวกับ ริคาร์โด โรดริเกวซ อดีตกุนซือสแปนิชที่เพิ่งแยกทางกับ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี
ทุกอย่างกำลังก้าวเดินไปข้างหน้า พูดได้คำเดียวว่าจากนี้บอลไทยสนุกแน่นอน หลังจากที่แชมป์ผูกขาดกับ 2 มหาอำนาจอย่าง บุรีรัมย์ และ เมืองทอง มานาน วันนี้ทีมพระรองที่รอคอยถ้วยรางวัลมาประดับบารมีทั้ง “เดอะ แร็บบิท” และ บีอีซี เทโรศาสน(แชมป์โตโยต้า ลีก คัพ)ต่างพร้อมที่จะขึ้นมาท้าชิงเทียบรัศมีชนิดไม่เป็นรองกันแล้ว แต่หวังอย่างเดียวว่าอย่าให้มีเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ผิดแปลกธรรมชาติจากบางหน่วยงานเข้ามาทำให้เสียอารมณ์เลย
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *