ASTV ผู้จัดการรายวัน – บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก 2014 มาครองได้สำเร็จ เป็นสมัยที่ 3 ต่อจากปี 2011 และ 2013 อย่างไรตลอดเส้นทางทั้งฤดูกาลที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าขนาดทีมใหญ่อย่าง “ปราสาทสายฟ้า” ยังต้องพบเจอปัญหาเรื่องการจัดทัพ เนื่องจากตัวผู้เล่นมีให้เลือกใช้งานจำนวนจำกัด ซึ่งปีหน้าจะมีการปรับลดโควตาผู้เล่นต่างชาติลงเหลือ 5 คน ยิ่งทำให้แต่ละทีมต้องวางการเสริมทัพกันให้รอบคอบมากขึ้น ขณะที่แข้งไทยฝีเท้าดีก็ถูกรุมแย่งกันจนราคาพุ่ง ดังนั้นเทรนด์ใหม่จากนี้เป็นที่แน่นอนว่าแต่ละทีมจะเริ่มหันมาใช้วิธีการปั้นผู้เล่นไทยมากขึ้น
ฤดูกาล 2014 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้องเจอกับความอึดอัด หลังจากช่วงต้นซีซันผลงานร่วงกราวหล่นมารั้งที่ 14 ของตาราง แม้จะตีตื้นสลับขึ้นมาป็นผู้นำบ้างเนื่องจากคู่ปรับอย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เริ่มสะดุด แต่ก็ยังต้องลุ้นถึงนัดสุดท้ายของซีซันกับ ชลบุรี เอฟซี โดยที่เป็น “ฉลามชล” เองที่ตกม้าตายในสองเกมสุดท้าย ก่อนจะส่งให้ บุรีรัมย์ เข้าวินด้วยคะแนนที่เฉียดฉิวมากกว่าเพียง 3 แต้ม ผิดกับฤดูกาลที่เคยได้แชมป์ก่อนหน้านี้ที่มักจะนำห่างและทำแต้มขาด ซึ่งสาเหตุหลักเนื่องมาจาก “ปราสาทสายฟ้า” มีการวางแผนเสริมทัพที่ผิดพลาด
โดย แชมป์ลีกสูงสุด 3 สมัย ตัดสินใจปล่อยแข้งหลักอย่าง ชาริล ชัปปุยส์ และ จิรวัฒน์ มัครมย์ สองกองกลางตัวเก่ง รวมถึง ไค ฮิราโนะ แข้งญี่ปุ่นตัวจี๊ดออกจากทีม แต่ผู้เล่นที่ถูกนำเข้ามากลับไม่สามารถที่จะทดแทนช่องโหว่เหล่านั้นได้โดยเฉพาะแข้งต่างชาติทั้ง ลูซิโอ มารันเยา กองหน้าบราซิเลียน ที่ต้องถูกยกเลิกสัญญาตั้งแต่ยังไม่จบปี หรือ คิม ฮยอง-บอม มิดฟิลด์เกาหลีใต้ ที่ถูกใส่ชื่อแค่ในฟุตบอลถ้วยเท่านั้น อีกทั้งยังต้องเจอปัญหาแข้งหลักตบเท่ากันเจ็บ ไม่ว่าจะเป็น จักรพันธ์ แก้มพรม, ประทุม ชูทอง, สุรีย์ สุขะ และ สุรัตน์ สุขะ ทำให้บางนัดเหลือผู้เล่นใช้งานเพียงแค่ 14 รายเท่านั้น โดยส่วนใหญ่เป็นดาวรุ่งที่เพิ่งถูกดันขึ้นมาอย่าง เชาว์วัตน์ วีระชาติ, ณัฐวุฒิ สมบัติโยธา, นิติพงษ์ เสลานนท์ และ อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ ซึ่งทำได้เพียงวูบวาบบางครั้ง ยังไม่คงเส้นคงวา
ซึ่ง เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ฯได้ยืดอกยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง “การที่เราต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากลุ้นแชมป์จนถึงนัดสุดท้ายนั้น ผมยอมรับว่าฤดูกาลนี้ผมผิดพลาดเองเรื่องการวางแผนเสริมตัวผู้เล่น จนทำให้ขนาดทีมเล็กเกินไป เมื่อมีผู้เล่นบาดเจ็บทั้งไทยและต่างชาติ จึงทำให้การหมุนเวียนนักเตะมีปัญหา และทำให้สะดุดเป็นช่วงๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นประสบการณ์สำคัญที่จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกในฤดูกาลหน้า เราต้องมีทีมที่ใหญ่กว่านี้เพื่อพร้อมที่จะโรเตชันและรักษาแชมป์”
อย่างไรก็ตามในปีหน้า ทีพีแอล (บริษัท ไทย พรีเมียร์ จำกัด) ได้ลดจำนวนโควตาผู้เล่นต่างชาติที่จะลงทะเบียนในฟุตบอลลีกลงจาก 7 เหลือ 5 ที่นั่ง ยิ่งทำให้แต่ละทีมต้องคัดสรรอย่างรอบคอบ รวมถึงเฟ้นหานักเตะสัญชาติไทยเข้าทดแทนในส่วนที่หายไป แต่กระนั้นในปัจจุบันแข้งแดนสยามเกรด เอ เกือบทุกรายก็สังกัดกับเหล่าบิ๊กทีมอยู่แล้วจึงเป็นเรื่องยากที่จะมีการย้ายตัว ขณะที่เหล่าผู้เล่นดาวรุ่งที่แจ้งเกิดขึ้นมาเพียงไม่กี่รายก็ตกเป็นที่หมายปอง ต้องรุมแย่งกันจนบางครั้งราคาพุ่งกระฉูด ดังนั้นจากนี้เหล่าบรรดายักษ์ใหญ่จึงหันมาเปลี่ยนเทรนด์เป็นการปั้นเยาวชนจากอะคาเดมีของตนเองขึ้นมา
ซึ่งในปัจจุบัน เอสซีจี เมืองทองฯ ก็มีแข้งที่เริ่มเฉิดฉายขึ้นมาอย่าง สุริยา สิงห์มุ้ย, สารัช อยู่เย็น และ กษิดิ์เดช เวทยาวงศ์ ขณะที่ ชลบุรีฯ ก็มี “เจ้ายิม” วรชิต กนิตศารีบำเพ็ญ เป็นตัวชูโรง ส่วน บีอีซี เทโรศาสน เป็นทีมแรกๆ ที่บ่มเพาะจนสามารถใช้งานได้จริงและเป็นแกนหลักในปัจจุบัน
สำหรับเรื่องนี้ เนวิน มองว่าในส่วนของตนไม่เป็นปัญหา “เรื่องผู้เล่นต่างชาติตอนนี้ในทีมก็มีนักเตะที่ดีอยู่แล้ว ส่วนปีหน้าเราก็จะเสริมเข้ามาเผื่อมากกว่าโควตาเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากเราต้องลงเล่นหลายรายการ แต่จะต้องมาพิจารณาและวางแผนอย่างรอบคอบว่าใครจะเล่นรายการใดบ้าง ขณะที่ผู้เล่นไทยที่จะขึ้นมานั้นบอกเลยว่าไม่เป็นปัญหา เพราะอะคาเดมีผมมีดีเยอะ อย่างปีนี้เด็กที่ขึ้นมาสำหรับผมถือว่าสอบผ่าน บางคนอายุ 18 ปี บางคนอายุ 16 ปี แต่สามารถลงเล่นใน ไทย พรีเมียร์ ลีก ซึ่งเป็นลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในอาเซียนได้ และเรายังเตรียมคว้านักเตะไทยเพิ่มอีก 3-4 ราย”
ดังนั้นเมื่อ ไทย พรีเมียร์ ลีก เติบโตขึ้นทุกวัน จากนี้นอกจากเหล่าผู้เล่นตัวเก๋ากับแข้งต่างชาติฝีเท้าดีที่เป็นแกนหลักให้กับทีมแล้ว หากหวังที่จะประสบความสำเร็จในการต่อสู้ที่ทรหดกว่า 10 เดือนในลีก คงต้องมาวัดกันที่พลังของผู้เล่นดาวรุ่งแต่ละทีมแล้วว่าใครจะเจ๋งพอขึ้นมาช่วยทีมยามฉุกเฉินได้ดีกว่ากัน
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *