ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มาพร้อมความกดดันแสนสาหัส สำหรับ อังเคล ดิ มาเรีย ตัวเดิมเกมทีมชาติอาร์เจนตินา ด้วยค่าตัวสูงเป็นสถิติสโมสรอังกฤษซื้อตัวคือ 59.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,164 ล้านบาท) พร้อมได้รับมอบเสื้อเบอร์ 7 ซึ่งก็ประเดิมสนามไปแล้วต้นสังกัดเก็บได้แต้มเดียวจากการเสมอ เบิร์นลีย์ ศึก พรีเมียร์ ลีก 0-0 ดังนั้น จากนี้สาวก “เรด เดวิลส์” ต้องลุ้นระทึกกันว่ารายนี้จะเป็นตำนานคนต่อไปที่ใช่หรือแจ้งดับเช่น 6 คนนี้
สตีฟ ค็อปเปลล์ (1975-1983) อาจจะไม่ยุติธรรมนัก ถ้าจะบอกว่าล้มเหลวในฐานะนักเตะเบอร์ 7 ของ แมนฯยู แต่ภาพรวมแล้วไม่ได้รับเกียรติยศใดๆ เลยอย่างที่ควรจะเป็น โดยเป็นหนึ่งในขุนพลยุคคุมทัพของ ทอมมี โดเคอร์ตี ที่แพ้ เซาแธมป์ตัน จาก ดิวิชัน 2 ด้วยสกอร์ 0-1 นัดชิง เอฟเอ คัพ ปี 1976 ถัดจากนั้น 12 เดือนสามารถที่จะหยุดความฝันคว้า “ทริปเปิลแชมป์” ของ ลิเวอร์พูล นัดชิงถ้วยเดียวกันชนะ 2-1 จากนั้นก็มีปัญหาที่หัวเข่าต้องแขวนสตั๊ดเดือนตุลาคมปี 1983 ด้วยอายุเพียง 28 ปียิง 53 ประตูจาก 322 นัดในลีก
แอชลีย์ กริเมส (1977-1983) กองกลางไอริชเกิดที่ ดับลิน เล่นให้ แมนฯยู 107 นัดตลอดระยะเวลา 6 ปี ถือว่าค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้เป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง โดย เดฟ เซ็กซ์ตัน กุนซือตอนนั้นไม่ค่อยปลาบปลื้มเท่าที่ควร ก่อนจะถูกแทนด้วย รอน แอตกินสัน ที่ก็ไปซื้อ ไบรอัน ร็อบสัน เข้ามาเสริมแผงมิดฟิลด์ แม้ว่าจะมีเหรียญแชมป์ เอฟเอ คัพ ปี 1983 คล้องคอนัดชิงที่ชนะ ไบรจ์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน 4-0 แต่ก็เป็นแค่ตัวสำรอง ก่อนจะไปอยู่ โคเวนทรี, ลูตัน ทาวน์ และ โอซาซูนา ส่วนทีมชาติติดธงไปทั้งสิ้น 18 นัด
ราล์ฟ มิลน์ (1988-1991) นักเตะที่ได้สวมเบอร์ 7 ตลอด 3 ปีภายใต้เริ่มต้นยุคคุมทัพของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก่อนหน้านี้ แมนฯยู จบอันดับ 2 ศึก ดิวิชัน 1 ซึ่งการมาของเขาก็เชื่อว่าน่าจะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากยิงได้แค่ 3 ประตูจาก 30 นัด แถมไม่ค่อยเป็นที่รักของสาวก “เรด เดวิลส์” ถึงกับถูกนำไปติดทำเนียบแข้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว สุดท้ายบรมกุนซือประจำถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ก็ยอมรับว่าค่าตัว 170,000 ปอนด์ (ประมาณ 9 ล้านบาท) นั้นไม่คุ้มเอาเสียเลย
คีธ กิลเลสพี (1993-1995) หนึ่งในนักเตะยุค “คลาส ออฟ 92” เช่นเดียวกับ ไรอัน กิกส์, เดวิด เบ็คแฮม, พอล สโคลส์ และพี่น้อง เนวิลล์ โดยคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ ปี 1992 ถือเป็นปีกที่มีความเร็วจัดจ้าน แต่ไม่สามารถแย่งตำแหน่งตัวจริงจาก อังเดร แคนเชลสกีส์ จรวดทางเรียบจากรัสเซีย ที่ยุคนั้นหาคนหยุดยากจริงๆ ก่อนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการย้ายทีมของ แอนดี โคล กองหน้าชาวอังกฤษจาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด มาอยู่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอรืด จากนั้นก็ระหกระเหินไป แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, เลสเตอร์ ซิตี และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
ไมเคิล โอเวน (2009-2012) อดีตกองหน้า ลิเวอร์พูล ที่ เซอร์ อเล็กซ์ ประทับใจฝีเท้ามานานแล้ว ดังนั้น เมื่อมีโอกาสคว้าตัวแบบฟรีทรานเฟอร์จึงไม่ลังเล ถือเป็นข่าวที่ประหลาดใจมาก แต่ก็เสี่ยงไม่น้อย เนื่องจากอดีตแข้ง รีล มาดริด กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด สภาพร่างกายค่อนข้างเป็นปัญหา ทำให้ได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองเสียส่วนใหญ่ยากเบียด เวย์น รูนีย์ กับ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ 3 ปี ภายใต้ยูนิฟอร์มเบอร์ 7 ยิง 17 ประตูจาก 52 นัด ไฮไลท์คือศึก พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาล 2009-10 ซัดประตูชัยทดเจ็บเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี 4-3 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ปีเดียวกันคือถ้วย ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กดแฮตทริกบุกชนะ โวล์ฟสบวร์ก 3-1
อันโตนิโอ วาเลนเซีย (2009-ปัจจุบัน) การโบกมือลาไปของ โอเวน ทำให้เบอร์ 7 ถูกส่งต่อให้ วาเลนเซีย ก่อนเปิดฉากฤดูกาล 2012-13 แทนเบอร์ 25 ถือเป็นปีที่ 4 ภายในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด อันสุดแสนจะท้าทายของปีกจากเอกวาดอร์ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก 40 เกมรวมทุกรายการซัดไปได้แค่ลูกเดียวเท่านั้น ก่อนที่ปีต่อมาแข้งวัย 29 ปีจะตัดสินใจกลับมาใช้เบอร์ 25 ตามเดิม แต่ก็ดูเหมือนว่าฟอร์มกระชากลากเลื้อยที่เปรี้ยงปร้างสมัยอยู่กับ วีแกน แอธเลติก ก็ยังคงไม่กลับมาอยู่ดี
เรื่อง สรเดช เพชรแสงใสกุล
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *