เอเยนซี - ศึกรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก ฤดูกาล 2014 ตีระฆังพักยกชั่วคราว หลังประลองความเร็วกันไป 11 สนาม ปรากฏว่า เมอร์เซเดส จีพี ค่ายรถซิ่งสัญชาติเยอรมัน โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงเกินความคาดหมายจากผลงานของ 2 นักขับ ลูอิส แฮมิลตัน กับ นิโค รอสเบิร์ก บวกกับเครื่องยนต์ที่สามารถรีดศักยภาพได้อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นทีมที่ผงาดขึ้นจ่าฝูงของตารางชิงแชมป์โลก
ฟอร์มูลา วัน เปิดฉากตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ออสเตรเลีย โดยที่ทุกสายตาของแฟนความเร็วและสื่อล้วนจับจ้องไปที่การลงสนามของ เซบาสเตียน เวทเทล แชมป์โลก 4 สมัยซ้อนจากฝั่ง เรด บูลล์ ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะครองความยิ่งใหญ่ได้เป็นสมัยที่ 5 ตามด้วย เฟอร์รารี ที่มีคู่หูสุดแกร่งดีกรีอดีตแชมป์โลกอย่าง เฟร์นานโด อลอนโซ และ คิมี ไรค์โคเนน ผนึกกำลังล่าชัยบนแทร็ก ส่วน เมอร์เซเดส ซึ่งยังไม่มีดีกรีความสำเร็จให้จับต้องได้ในยุคปัจจุบัน เป็นเพียงแค่ม้านอกสายตา
แต่เมื่อประลองความเร็วกันครบ 11 สนาม โดยจบลงที่ ฮังการี กลับกลายเป็นว่านักซิ่งจากค่าย “ซิลเวอร์ แอร์โรว์ส” ทำผลงานชนิดหักปากกาเซียนเมื่อ แฮมิลตัน และ รอสเบิร์ก โชว์เหยียบคันเร่งสุดมิดแบบไม่เกรงกลัวบารมีแชมป์เก่า จนช่วยกันพาทีมคว้าชัยชนะมาได้ทั้งหมด 9 สนาม รวมถึงผลงานควอลิฟายที่ไร้เทียมทานซิวตำแหน่งโพล โพซิชัน ได้ทุกเรซ ยกเว้น ออสเตรีย ที่เสียท่าให้กับ เฟลิเป มาสซา จอมเก๋าของทีม วิลเลียมส์ สวนทางกับ เวทเทล ที่ยังไม่ได้สัมผัสโทรฟีแชมป์แม้แต่สนามเดียว
ผลที่เกิดขึ้นทำให้สองนักซิ่งของ เมอร์เซเดส ยึดหัวหาดบนตารางชิงแชมป์โลกประเภทนักขับ โดย รอสเบิร์ก มี 202 แต้ม และ แฮมิลตัน มี 191 แต้ม แถมยังช่วยอานิสงส์ให้ต้นสังกัดของพวกเขา ขึ้นมายึดจ่าฝูงบนตารางทีมผู้สร้าง มี 393 แต้ม ทิ้งห่าง เรด บูลล์ ที่ยึดบัลลังก์มาตลอด 4 ปี หลังสุดถึง 174 แต้ม เรียกว่านอกจากฝีมือการขับชั้นเลิศของนักแข่งจากเมืองเบียร์และเมืองผู้ดีแล้ว เครื่องยนต์ที่แข็งแกร่งของพวกเขาก็คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ทีมมีผลงานโดดเด่นในขณะนี้
สำหรับ เมอร์เซเดส ฤดูกาลนี้พวกเขาใช้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ PU106A Hybrid ที่สร้างและพัฒนาขึ้นมาใช้เอง เช่นเดียวกับหลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง แอนดี โคเวลล์ หัวหน้าฝ่ายเครื่องยนต์ประจำทีม เปิดเผยว่าทันทีที่พวกเขาทราบว่าฤดูกาล 2014 จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎใช้เครื่องยนต์ V6 ที่มีแรงม้าและความจุน้อยลงกว่าเดิม ก็ได้เรียกทีมช่างมาช่วยระดมมันสมองช่วยพัฒนาเครื่องยนต์ของตัวเองตั้งแต่ปีที่แล้ว และทดสอบอยู่หลายครั้งจนค้นพบสูตรที่ลงตัวเหมาะสำหรับนำมาให้นักแข่งทั้งสองคนได้ใช้ซิ่งกันกระจายในสนาม
เมื่อเข้าสู่การชิงชัยฤดูกาลปัจจุบัน เครื่องยนต์ไฮบริดของพวกเขาก็แสดงศักยภาพให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนดูและคู่แข่ง เมื่อสามารถเร่งไมล์ทำเวลาเร็วสุดเกือบทุกสนามทั้งในช่วงควอลิฟายและการแข่งขันจริง รวมถึงเร่งอัตราความเร็วได้อย่างเต็มที่เมื่อเข้าสู่ช่วงทางตรง ทำให้หลายครั้งแฟนๆ ความเร็วที่เกาะอยู่ขอบสนามหรือทางทีวีได้เห็นรถซีรีส์ W05 ของ เมอร์เซเดส ทิ้งห่างรถทีมอื่นโดยกินฝุ่นตามหลังอยู่ถึง 3 - 4 วินาทีด้วยกัน
ขณะที่ เรด บูลล์ สาเหตุหลักที่ทำให้ยังคงไม่ประสบความสำเร็จบนแทร็กปีนี้ หนีไม่พ้นการฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่เครื่องยนต์ของ เรโนลต์ ซึ่งยังคงมีปัญหาในเรื่องการรีดความเร็วออกมาได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานว่าฝ่ายผลิตเครื่องยนต์ชื่อดังฝรั่งเศส ลงมือพัฒนาเครื่องของตัวเองช้าเกินไป เพราะเพิ่งมาทำงานกันแบบจริงจังเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ทำให้ทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทางจนส่งผลกระทบต่อผลงานในสนาม
โดย อาเดรียน นิวอี วิศวกรออกแบบรถของ เรด บูลล์ เคยเปรยผ่านสื่อว่าความสำเร็จของทีมขึ้นอยู่กับ เรโนลต์ เป็นหลัก “เรามีเครื่องยนต์อยู่ 3 ตัว ถ้าพวกเขาทำเครื่องออกมาดี รถของเราจะเร็วที่สุด แต่ถ้าเครื่องไม่ดีรถของเราก็จะช้ากว่าคันอื่น” ส่วน เฟอร์รารี แม้ว่าจะใช้เครื่องยนต์ของตัวเองเหมือนกัน แต่การวิ่งวุ่นหานักซิ่งใหม่แทน เฟลิเป มาสซา เมื่อปลายปีที่แล้วก่อนได้ตัว คิมี ไรค์โคเนน มาอยู่ในเก้าอี้นักขับคนที่สอง ก็ทำให้การพัฒนาเครื่องยนต์รุ่น เฟอร์รารี 059/3 ล่าช้าไปด้วยทำให้ อลอนโซ และ ไรค์โคเนน ต่างก็หัวเสียไม่น้อยที่รถของ “ม้าลำพอง” ช้ากว่าทีมหัวแถวทั้งหมด
เรียกว่าเป็นฤดูกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจเมื่อตำแหน่งจ่าฝูงที่ เรด บูลล์ ยึดครองมาตลอด ถูกเปลี่ยนมือมาเป็นทีมยักษ์หลับที่เคยมีโทรฟีแชมป์โลกนักขับมาแล้ว 2 สมัยเมื่อปี 1954-55 บ้าง แม้หนทางจากนี้ยังเหลืออีก 8 สนามให้ได้ลุ้นจนถึงเดือนพฤศจิกายน เช่นเดียวกับคู่แข่งทีมอื่นที่กำลังคิดหากลยุทธ์ใหม่ๆ กลับมาแก้มือในครึ่งหลังที่จะเริ่มต้นวันที่ 24 สิงหาคม ที่เบลเยียม แต่หาก เมอร์เซเดส ยังรักษามาตรฐานของตัวเองทั้งเครื่องยนต์และนักขับไว้ได้จนถึงเรซสุดท้ายที่ อาบู ดาบี ไม่แน่ปีนี้แฟนเอฟวันอาจได้เห็นแชมป์โลกนักขับหน้าใหม่ที่ไม่ใช่นักแข่งจากฝั่ง เรด บูลล์ ที่เห็นกันมาตลอด 4 ปีหลังสุดก็เป็นได้
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
