คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
หลายคนคงชินชากันไปแล้วสำหรับการจัดอันดับโลกของทัพนักฟุตบอลชายทีมชาติไทย ที่ภาพรวมของเส้นกราฟในหลายปีที่ผ่านมามีแต่จะดิ่งลงๆ แม้มีกระเตื้องขึ้นบ้างก็เพียงเล็กน้อยไม่กี่อันดับก่อนจะตกลงมาตามเดิม แต่ในครั้งล่าสุดนี้คงจะให้ปล่อยผ่านไปเฉยๆ คงจะไม่ได้ เพราะการร่วงลงมาสู่ที่ 157 โลก นั้นถือว่าต่ำสุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังแดนสยามเลยทีเดียว จากที่เคยทะยานสูงสุดที่ 43 เมื่อปี 1998
สถิติต่ำสุดเดิมของทีมชาติไทยคืออันดับที่ 152 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2012 ส่วนหลังจากนั้นก็ขึ้นๆ ลงๆ ดีสุดที่ 135 ที่เหลือก็ราว 140 กว่าๆ เป็นต้นไป แต่การประกาศล่าสุดประจำเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา “ช้างศึก” ร่วงลงมาจากเดือนมิถุนายน ถึง 8 อันดับ มีคะแนนสะสม 128 แต้ม รั้งที่ 30 ของเอเชีย และที่ 6 ของอาเซียน ตามหลัง ฟิลิปปินส์ (218 แต้ม), เวียดนาม (217 แต้ม), มาเลเซีย (144 แต้ม), อินโดนีเซีย (141 แต้ม) และสิงคโปร์ (140 แต้ม) ส่วนอันดับที่ 1 ของเอเชียยังคงเป็น ญี่ปุ่น (604 แต้ม) ที่รั้งอยู่ในอันดับที่ 45 ของโลก
สำหรับการจัดอันดับอย่างเป็นทางการของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า “FIFA/Coca-Cola World Ranking” นั้น จะคำนวณจากผลงานของแต่ละชาติในเกมที่ลงสนามอย่างเป็นทางการตามปฏิทินฟีฟา (ฟีฟา เดย์) เท่านั้น จะเป็นอุ่นเครื่องหรือโปรแกรมทัวร์นาเมนต์อะไรก็ตามแต่ เช่น ซูซูกิ คัพ (ได้คะแนนเท่าเกมกระชับมิตร), เอเชียน คัพ, ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก หรือ โอลิมปิกเกมส์ ส่วน ซีเกมส์ และ เอเชียนเกมส์ นั้นไม่อยู่ในข่าย ที่สำคัญเจ้าอันดับโลกนี้นอกจากจะเป็นหน้าเป็นตาแล้วยังมีผลต่อการจัดอันดับลุ้นเป็นทีมวางยามลงแข่งรายการระดับชาติ รวมถึงการออกเวิร์ก เพอร์มิต ให้ผู้เล่นของลีกบางประเทศอีกด้วย
ดังนั้น จึงไม่ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจอะไรหากทีมชาติไทยอันดับโลกจะไม่กระเตื้องซ้ำยังมีแต่ต่ำลง เพราะหากเปิดบันทึกดูจะพบว่าในแต่ละปี “ช้างศึก” แทบไม่มีคิวที่ลงเล่นแล้วได้คะแนนจากลูกหนังโลกเลย ในรายการเอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก ก็พ่ายรวด 6 เกมติด ส่วนคิวลับแข้งยิ่งแล้วใหญ่ปีนี้เพิ่งจะมีเพียงนัดเดียวคือเกมเปิดบ้านเสมอ คูเวต 1-1 ในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา แถมยังลักไก่ส่งชุดเตรียมเอเชียน เกมส์ ลงแข่งอีกต่างหาก ขณะที่ปี 2013 มีเพียงเกมเดียวเช่นกันคือการบุกไปถล่ม จีน 5-1 (ไทย ใช้ทีมชุด ยู-23) ส่วนเกมที่เปิดบ้านเฉือน บาห์เรน 1-0 นั้นไม่ได้รับการรับรองจากฟีฟา เนื่องจากลงเล่นกันก่อนฟีฟาเดย์ 1 วัน
ซึ่งกรณีลงแข่งแล้วไม่ได้คะแนนนั้นมีเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว เช่น ปี 2008 ชนะ เลบานอน 1-0 (ไทยแจ้งฟีฟาว่าใช้ชุด บี), ปี 2009 ชนะ ซิมบับเว 3-0 (สหพันธ์ฟุตบอลซิมบับเวแจ้งว่าเป็นทีมชาติปลอม), ปี 2009 ชนะ ปากีสถาน 4-0 (ไทยเปลี่ยนตัวเกินกำหนด) หรือ ปี 2012 ชนะ ลาว 2-1 (ไทยเปลี่ยนตัวเกินกำหนด)
ตัดกลับมาปัจจุบันตามโปรแกรมที่ทีพีแอลวางไว้ ในปีนี้เรายังมีโปรแกรมตามฟีฟาเดย์ที่ถูกเซตไว้ อีก 4 เกมด้วยกันคือ วันที่ 3 กันยายน, 8 ตุลาคม, 12 พฤศจิกายน และ 18 พฤศจิกายน ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่มีการคอนเฟิร์มแมตช์ที่แน่นอนออกมา มีเพียงการเคาะกะลาให้สุนัขดีใจจะหวดกับ โครเอเชีย และ จีน เท่านั้น
ฉะนั้น ช่วงเวลาที่เหลือนี้อยากวอนท่านนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในฐานะที่เป็น 1 ในบอร์ดบริหารฟีฟา ใช้ศักยภาพที่มีหาทีมดีๆ มาอุ่นเครื่องกับทีมชาติไทยให้ตรงตามคิวกับเขาบ้าง ดีกว่าเอาเวลาไปรวบรวมผลงานในศึก ซีเกมส์ หรือเกมอุ่นแข้งที่ผ่านมาไปให้ฟีฟาดูตามข่าวที่ออกมา เพราะดูแล้วไม่น่าจะเกิดประโยชน์สักเท่าไหร่
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
หลายคนคงชินชากันไปแล้วสำหรับการจัดอันดับโลกของทัพนักฟุตบอลชายทีมชาติไทย ที่ภาพรวมของเส้นกราฟในหลายปีที่ผ่านมามีแต่จะดิ่งลงๆ แม้มีกระเตื้องขึ้นบ้างก็เพียงเล็กน้อยไม่กี่อันดับก่อนจะตกลงมาตามเดิม แต่ในครั้งล่าสุดนี้คงจะให้ปล่อยผ่านไปเฉยๆ คงจะไม่ได้ เพราะการร่วงลงมาสู่ที่ 157 โลก นั้นถือว่าต่ำสุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังแดนสยามเลยทีเดียว จากที่เคยทะยานสูงสุดที่ 43 เมื่อปี 1998
สถิติต่ำสุดเดิมของทีมชาติไทยคืออันดับที่ 152 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2012 ส่วนหลังจากนั้นก็ขึ้นๆ ลงๆ ดีสุดที่ 135 ที่เหลือก็ราว 140 กว่าๆ เป็นต้นไป แต่การประกาศล่าสุดประจำเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา “ช้างศึก” ร่วงลงมาจากเดือนมิถุนายน ถึง 8 อันดับ มีคะแนนสะสม 128 แต้ม รั้งที่ 30 ของเอเชีย และที่ 6 ของอาเซียน ตามหลัง ฟิลิปปินส์ (218 แต้ม), เวียดนาม (217 แต้ม), มาเลเซีย (144 แต้ม), อินโดนีเซีย (141 แต้ม) และสิงคโปร์ (140 แต้ม) ส่วนอันดับที่ 1 ของเอเชียยังคงเป็น ญี่ปุ่น (604 แต้ม) ที่รั้งอยู่ในอันดับที่ 45 ของโลก
สำหรับการจัดอันดับอย่างเป็นทางการของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า “FIFA/Coca-Cola World Ranking” นั้น จะคำนวณจากผลงานของแต่ละชาติในเกมที่ลงสนามอย่างเป็นทางการตามปฏิทินฟีฟา (ฟีฟา เดย์) เท่านั้น จะเป็นอุ่นเครื่องหรือโปรแกรมทัวร์นาเมนต์อะไรก็ตามแต่ เช่น ซูซูกิ คัพ (ได้คะแนนเท่าเกมกระชับมิตร), เอเชียน คัพ, ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก หรือ โอลิมปิกเกมส์ ส่วน ซีเกมส์ และ เอเชียนเกมส์ นั้นไม่อยู่ในข่าย ที่สำคัญเจ้าอันดับโลกนี้นอกจากจะเป็นหน้าเป็นตาแล้วยังมีผลต่อการจัดอันดับลุ้นเป็นทีมวางยามลงแข่งรายการระดับชาติ รวมถึงการออกเวิร์ก เพอร์มิต ให้ผู้เล่นของลีกบางประเทศอีกด้วย
ดังนั้น จึงไม่ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจอะไรหากทีมชาติไทยอันดับโลกจะไม่กระเตื้องซ้ำยังมีแต่ต่ำลง เพราะหากเปิดบันทึกดูจะพบว่าในแต่ละปี “ช้างศึก” แทบไม่มีคิวที่ลงเล่นแล้วได้คะแนนจากลูกหนังโลกเลย ในรายการเอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก ก็พ่ายรวด 6 เกมติด ส่วนคิวลับแข้งยิ่งแล้วใหญ่ปีนี้เพิ่งจะมีเพียงนัดเดียวคือเกมเปิดบ้านเสมอ คูเวต 1-1 ในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา แถมยังลักไก่ส่งชุดเตรียมเอเชียน เกมส์ ลงแข่งอีกต่างหาก ขณะที่ปี 2013 มีเพียงเกมเดียวเช่นกันคือการบุกไปถล่ม จีน 5-1 (ไทย ใช้ทีมชุด ยู-23) ส่วนเกมที่เปิดบ้านเฉือน บาห์เรน 1-0 นั้นไม่ได้รับการรับรองจากฟีฟา เนื่องจากลงเล่นกันก่อนฟีฟาเดย์ 1 วัน
ซึ่งกรณีลงแข่งแล้วไม่ได้คะแนนนั้นมีเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว เช่น ปี 2008 ชนะ เลบานอน 1-0 (ไทยแจ้งฟีฟาว่าใช้ชุด บี), ปี 2009 ชนะ ซิมบับเว 3-0 (สหพันธ์ฟุตบอลซิมบับเวแจ้งว่าเป็นทีมชาติปลอม), ปี 2009 ชนะ ปากีสถาน 4-0 (ไทยเปลี่ยนตัวเกินกำหนด) หรือ ปี 2012 ชนะ ลาว 2-1 (ไทยเปลี่ยนตัวเกินกำหนด)
ตัดกลับมาปัจจุบันตามโปรแกรมที่ทีพีแอลวางไว้ ในปีนี้เรายังมีโปรแกรมตามฟีฟาเดย์ที่ถูกเซตไว้ อีก 4 เกมด้วยกันคือ วันที่ 3 กันยายน, 8 ตุลาคม, 12 พฤศจิกายน และ 18 พฤศจิกายน ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่มีการคอนเฟิร์มแมตช์ที่แน่นอนออกมา มีเพียงการเคาะกะลาให้สุนัขดีใจจะหวดกับ โครเอเชีย และ จีน เท่านั้น
ฉะนั้น ช่วงเวลาที่เหลือนี้อยากวอนท่านนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในฐานะที่เป็น 1 ในบอร์ดบริหารฟีฟา ใช้ศักยภาพที่มีหาทีมดีๆ มาอุ่นเครื่องกับทีมชาติไทยให้ตรงตามคิวกับเขาบ้าง ดีกว่าเอาเวลาไปรวบรวมผลงานในศึก ซีเกมส์ หรือเกมอุ่นแข้งที่ผ่านมาไปให้ฟีฟาดูตามข่าวที่ออกมา เพราะดูแล้วไม่น่าจะเกิดประโยชน์สักเท่าไหร่
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *