แกเร็ธ เบล ปีกความเร็วจัดของ รีล มาดริด กลายเป็นนักเตะส่งออกจากสหราชอาณาจักรเบอร์ 8 ที่คว้าแชมป์ ยูฟา แชเปียนส์ ลีก กับสโมสรต่างแดน หลังปราบ แอตเลติโก มาดริด คู่ปรับร่วมเมือง 4-1 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา
พลพรรค “ตราหมี” เกือบสร้างประวัติศาสตร์ ชูโทรฟี “บิ๊กเอียร์” ครั้งแรก ณ สนามเอสตาดิโอ ดา ลุซ เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดย ดีเอโก โกดิน เซ็นเตอร์ฮาล์ฟชาวอุรุกวัย โหม่งขึ้นนำนาที 36 ทว่า เซร์คิโอ รามอส กู้ชีพ “ราชันชุดขาว” ช่วงทดเจ็บจนเกมต้องยืดเยื้อออกไปอีก 30 นาที
อย่างไรก็ตาม อดีตผู้เล่น ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ตามซ้ำลูกยิง อังเคล ดิ มาเรีย มิดฟิลด์อาร์เจนไตน์ ส่ง ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ แซงนำนาที 110 ก่อน มาร์เซโล ฟูลแบ็กจอมบุกชาวบราซิเลียน และ คริสเตียโน โรนัลโด ปีกจอมสับทีมชาติโปรตุเกส ย้ำชัยนาที 118 และ 120 ตามลำดับ
ทำให้ จอมเลื้อยวัย 24 ปี ขึ้นทำเนียบแข้งบริติชรายที่ 8 ต่อจาก เควิน คีแกน (อังกฤษ, ฮัมบูร์ก ปี 1980), ลอรี คันนิงแฮม (อังกฤษ, รีล มาดริด ปี 1981) สตีฟ อาร์ชิบัลด์ (สกอตแลนด์, บาร์เซโลนา ปี 1986), คริส วอดเดิล (อังกฤษ, โอลิมปิก มาร์กเซย ปี 1993) พอล แลมเบิร์ต (สกอตแลนด์, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 1997), สตีฟ แม็คมานามาน (อังกฤษ, รีล มาดริด 2000 กับ 2002) และ โอเวน ฮาร์กรีฟส์ (อังกฤษ, บาเยิร์น มิวนิก 2001) ซึ่งครองแชมป์ยุโรป ระหว่างค้าแข้งนอกประเทศ
หลังจบเกม ผลผลิตจากอะคาเดมี เซาแธมป์ตัน กล่าว “นี่เป็นสิ่งที่นักฟุตบอลทุกคนฝันถึง มันไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้วสำหรับระดับสโมสร เราเผชิญหน้า แอต.มาดริด ทั้งสิ้น 4 ครั้ง ตลอดฤดูกาล 2013-14 แต่ละเกมล้วนสูสี และยากมาก เมื่อพวกเขาขึ้นนำ มันไม่งายเลยที่จะทวงคืน โชคดีเราทำสำเร็จช่วงทดเวลา สิ่งนั้นเป็นจุดเปลี่ยนของเกม”