xs
xsm
sm
md
lg

อมตังค์นักบอล / ชมณัฐ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”

นักฟุตบอลแม้จะทำรายได้เป็นแสนเป็นล้านบาทต่อเดือน แต่เมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบก็คงไม่มีใครยอมง่ายๆ ยิ่งโดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆที่หาได้จากหยาดเหงื่อแรงกายของตนเองด้วยแล้ว มันน่าเจ็บใจทวีคูณ

รายได้หลักของอาชีพพ่อค้าแข้งคงหนีไม่พ้นเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงจากสโมรต้นสังกัด นอกจากนั้นก็ปลีกย่อยว่าจะรับจ็อบถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า เปิดธุรกิจส่วนตัว ก็สุดแล้วแต่บุคคล ซึ่งบางรายอาจมีเบี้ยเลี้ยงจากการติดทีมชาติอยู่บ้างในแต่ละทัวร์นาเมนต์

สำหรับเบี้ยเลี้ยงจากการรับใช้ชาตินั้นแทบจะเทียบไม่ได้กับเงินเดือนจากสโมสรอยู่แล้ว และหากจับพลัดจับผลูโชคร้ายได้รับบาดเจ็บกลับมาจนไม่สามารถลงสนามช่วยต้นสังกัดได้ก็มีโอกาสที่จะชวดโบนัสอีก ดังนั้นสิ่งที่จะได้รับตอบแทนก็คงมีแต่เกียรติยศและความภาคภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติเท่านั้น จะมีเพียงก็ต่อเมื่อสามารถพาทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์หรือบรรลุเป้าหมายได้ถึงจะมีผู้หลักผู้ใหญ่ตบเท้าเข้ามามอบเงินสนับสนุนเพื่อเป็นของขวัญ หรือที่เรียกกันว่า “เงินอัดฉีด” ซึ่งเงินนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนควรได้รับและถือเป็นกำลังใจชั้นดีให้กับเหล่าน้องๆรุ่นหลังที่จะก้าวเข้ามารับช่วงต่อไป

แต่เมื่อไหร่ที่เงินของตนที่ควรจะได้รับถูกใครบางคนตอดไปจนไม่ครบจำนวน ก็เป็นเรื่องที่จะต้องออกมาโอดครวญเป็นธรรมดา สมมติเล่นๆนะครับว่ามีเงินอัดฉีดจากผู้ใหญ่ใจดียอดรวมทั้งสิ้น 10 ล้านบาท แล้วในทีมมีนักบอลทั้งตัวจริงและตัวสำรองทั้งหมด 20 คน กับสตาฟฟ์โค้ชอีก 5 คน รวม 25 คน ก็ควรจะได้ตกคนละ 400,000 บาท แต่ทั้งนี้หากต้องแบ่งร่วมกับบุคคลอื่นที่ติดมากับทีมอย่าง ผู้ติดต่อ ฝ่ายประสานงาน ผู้ดูล-ติดตาม ฯลฯ เบ็ดเสร็จรวมแล้วสมมติเพิ่มเป็น 38 คน เท่ากับนักฟุตบอลจะได้คร่าวๆเพียงคนละราว 263,157 บาทเท่านั้น หายไปเกือบ 140,000 บาท เลยนะครับ หนำซ้ำกว่าเงินจะมาถึงมือนักเตะจะต้องผ่านใครซึ่งเป็นตัวกลางและใครคือคนกำหนดจำนวนที่จะแบ่งก็ไม่รู้

ทีนี้ก็ต้องย้อนถามกลับไปว่าควรจะจัดสรรปันส่วนกันอย่างไรดี สำหรับผมมองว่า นักฟุตบอลตัวจริงกับตัวสำรองนั้นควรจะได้เท่ากัน เพราะทุกคนต่างเสียสละมาด้วยกัน รวมถึงกุนซือและสตาฟฟ์โค้ชที่คิดแผนเตรียมงานจนขมับแทบระเบิดด้วยเช่นกัน แต่จะให้ทีมงานอื่นมาร่วมหารเท่าๆกันอีกผมว่าคงจะไม่สมควรนัก เพราะอย่าลืมว่าพวกเขาเหล่านั้นมีเงินที่ได้รับจากการปฏบัติหน้าที่อยู่แล้วไม่ว่าจากสมาคมฟุตบอลฯเองหรือจากผู้จัดการทีมที่ส่งมาก็ตาม ซึ่งเมื่อทำหน้าที่ได้ดีทำงานได้ประทับใจก็ควรจะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆที่จะเป็นผู้ตบโบนัสให้ ไม่ใช่มาเบียดเบียนนักฟุตบอล

หลังจากนี้ก็เป็นเรื่องที่สมาคมลูกหนังต้องเข้ามาเป็นตัวกลาง เป็นตัวประสานงาน หรือกำหนดกรอบสัดส่วนให้เป็นมาตรฐานเลยว่าใครจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อขจัดปัญหามาร้องเรียนผิดใจกันทีหลัง

อย่าลืมนะครับว่าเวลาทีมแพ้หรือตกรอบเป้าแรกที่จะโดนวิจารณ์จากประชาชนก็คือ ผู้เล่น และ โค้ช ซ้ำร้ายบางคนอาจถึงกับเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต ดังนั้นขอเถอะครับผู้ไม่ประสงค์ดีทั้งหลายอย่าเป็น “กาฝาก” คอยสูบกินเลือดนักฟุตบอลกันอีกเลย
กำลังโหลดความคิดเห็น