คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 27 หรือ “เนปิดอว์เกมส์ 2013” ที่ประเทศเมียนมาร์ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับทัพนักกีฬาไทยทุกคนที่สู้สุดความสามารถจนคว้าตำแหน่ง “เจ้าเหรียญทอง” มาครองได้สำเร็จ จากผลงาน 107 เหรียญทอง 94 เหรียญเงิน และ 81 เหรียญทองแดง แม้ก่อนแข่งใครหลายคนในวงการจะแอบหวั่นและทำใจไว้ล่วงหน้าว่าอาจจะพลาดเป้าก็ตาม ซึ่งตัวผมเองหลังจากได้มีโอกาสลัดฟ้าไปเกาะติดสถานการณ์การแข่งขันตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม จนเดินทางกลับเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่ผ่านมา ก็ได้พบเจอกับเหตุการณ์หลากหลายอารมณ์ทั้งในและนอกสนามจึงอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังเช่นเคย
หลักจากขลุกอยู่ที่เมืองย่างกุ้งสักระยะตามที่ได้พรรณนาให้ทราบไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนู้น ก็ได้ฤกษ์มุ่งตรงสู่ “กรุงเนปิดอว์” นครหลวงแห่งใหม่เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งการเดินทางระหว่าง 2 เมืองนี้ นอกจากขับรถไปเองแล้วก็มีเครื่องบินให้โดยสาร สนนราคาอยู่ที่ 160 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมารณ 5,200 บาท โดยเป็นเครื่องบินใบพัดขนาดเล็ก แบบที่นั่งไปเสียวหลังไป (ฮา) ใช้เวลาเดินทางราว 1-2 ชั่วโมง กับอีกช่องทางที่ผมเลือกใช้คือรถทัวร์ ที่มีให้เลือกหลายระดับทั้งอย่างดีจนถึงแบบรถแดงบ้านเรา ถ้าชนิดที่ดีที่สุดเป็นรถยี่ห้อ VOLVO ตกอยู่ที่ 7,000 จ๊าด หรือราว 230 บาท (ถูกกว่าราคาแท็กซี่ที่วิ่งในเมืองอีก) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง
ตลอดระยะทางผู้โดยสารจะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติจนเอียนเลยทีเดียว หันซ้ายก็จะเห็นภูเขาอยู่ไกลๆ เหลือบมองขวาก็เจอแต่ที่ราบสูง วิ่งไปฝุ่นคลุ้งไป และจะมีวิวนี้วิวเดียวตลอดโดยมีจุดพักรถให้แวะเข้าห้องน้ำ ทานอาหารอยู่กึ่งกลางระหว่างเส้นทาง หากโชคดีหน่อยอาจจะเห็นวัฒนธรรมแปลกๆ เช่น การจอดรถแล้วล้อมวงนั่งกินข้าวกันกับพื้นริมถนนท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ และแล้วเมื่อถึงจุดหมายภาพแรกที่เห็นก็ตรงกับที่ใครหลายคนเล่าขานให้ฟังชัดเจน เนปิดอว์แห่งนี้หากเทียบกับย่างกุ้งแล้วแทบจะเป็นเมืองร้างที่ไร้ชีวิต มีแต่โรงแรมและป่า โดยมีห้างสรรพสินค้าคล้ายๆ บิ๊กซีหรือโลตัสบ้านเราอยู่เพียง 2 แห่ง ขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามชานเมือง และโดยมากเป็นเพิงหรือกระต๊อบเท่านั้นบางหลังไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วยซ้ำ
หลังจากเริ่มปรับสภาพได้ผมก็ถือโอกาสแบกเป้ไปทำงานที่สนามวันนะ เต็กกี สนามหลักที่ใช้แข่งขัน ซึ่งเมื่อเห็นแล้วต้องยอมรับและยกนิ้วให้กับการออกแบบที่ได้มาตรฐาน แต่ถึงกระนั้นผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกลวงตาเท่านั้น เพราะบางครั้งท่ามกลางสิ่งก่อสร้างที่หรูหราโอ่อ่า ในหลืบของความเจริญคุณอาจจะเห็นเด็กตัวเล็กๆ กำลังคุ้ยขยะหาของกินประทังชีวิตโดยมีสุนัขหลายตัววนไปมาเพื่อรอจังหวะเข้าขย้ำอยู่ก็เป็นได้
ถึงกระนั้นช่วงเวลาแห่งความสุขก็มาถึงเมื่อทัพ “ช้างศึก” เรียงหน้ากันโกยเหรียญทองได้สำเร็จ ไล่ตั้งแต่ ฟุตซอลหญิงอัดเวียดนาม 5-0 ต่อด้วยโต๊ะเล็กชายถล่มเหงียน 8-1 และแข้งเนื้ออ่อนพลิกแซงสาวญวนเข้าวิน 2-1 ก่อนจะปิดที่ ฟุตบอลชาย เฉือน อินโดนีเซีย 1-0 คว้าเหรียญทองที่ 4 ส่งท้ายเป็นของขวัญปีใหม่ โดยเฉพาะแมตช์สุดท้ายที่ต่างฝ่ายต่างลุ้นกันเคร่งเครียด ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเดือดสวนทางกับสภาพอากาศ 12 องศาฯที่สนามเซยาร์ ธิรี จนเกือบจะมีการกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่นักบอลนะครับ แต่เป็นสื่อมวลชนของทั้ง 2 ชาติที่นั่งปะปนกันอยู่บนอัฒจันทร์
โดยมีชนวนเริ่มจากนักข่าวอิเหนารายหนึ่งที่ลุกขึ้นโวยวายแบบไร้เหตุผลประหนึ่งว่าทีมตนเองถูกผู้ตัดสินกลั่นแกล้งอยู่ตลอดทั้งเกม พร้อมตะโกนด่าท่อและเหน็บแนวฝั่งต้องข้ามไม่หยุดหย่อน ทำให้สื่อไทยเริ่มไม่พอใจ และมีการปะทะคารมกัน ซึ่งหมอนี่มีพฤติกรรมเช่นนี้ตั้งแต่รอบแรกแล้วจนหลายคนคิดว่าไม่น่าจะรอดจากเกมที่เจ้าภาพแพ้และคลุ้มคลั่งเผาสนามได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรบานปลาย ทุกคนต่างข่มอารมณ์เพื่อที่จะรีบรายงานผลชัยชนะกลับมาให้แฟนบอลชาวไทยได้รับทราบ ซึ่งวินาทีนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ก่อนจะกุลีกุจอเก็บอุปกรณ์ทำงานแล้วลงมาร่วมแสดงความดีใจกับนักเตะในสนาม
ต้องบอกว่าเหรียญทองนี้เป็นเหรียญที่ชาวไทยรอคอยอย่างแท้จริงหลังจากผิดหวังอย่างหนักใน 2 ครั้งที่ผ่านมา ทำให้บรรยากาศ ณ วินาทีนั้นเกินที่จะบรรยายออกมาได้ พูดได้แต่เพียงว่าสุดยอด และเป็นการปิดจ๊อบของผมและทีมงานอย่างมีความสุขก่อนจะเดินทางกลับมาตุภูมิในวันรุ่งขึ้น พร้อมตะโกนส่งท้ายดังๆ ว่า “ต๊าต๋า(ลาก่อน) เมียนมาร์” เพื่อบันทึกช่วงเวลาดีๆ ทั้งหมดไว้ในความทรงจำ
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 27 หรือ “เนปิดอว์เกมส์ 2013” ที่ประเทศเมียนมาร์ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับทัพนักกีฬาไทยทุกคนที่สู้สุดความสามารถจนคว้าตำแหน่ง “เจ้าเหรียญทอง” มาครองได้สำเร็จ จากผลงาน 107 เหรียญทอง 94 เหรียญเงิน และ 81 เหรียญทองแดง แม้ก่อนแข่งใครหลายคนในวงการจะแอบหวั่นและทำใจไว้ล่วงหน้าว่าอาจจะพลาดเป้าก็ตาม ซึ่งตัวผมเองหลังจากได้มีโอกาสลัดฟ้าไปเกาะติดสถานการณ์การแข่งขันตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม จนเดินทางกลับเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่ผ่านมา ก็ได้พบเจอกับเหตุการณ์หลากหลายอารมณ์ทั้งในและนอกสนามจึงอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังเช่นเคย
หลักจากขลุกอยู่ที่เมืองย่างกุ้งสักระยะตามที่ได้พรรณนาให้ทราบไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนู้น ก็ได้ฤกษ์มุ่งตรงสู่ “กรุงเนปิดอว์” นครหลวงแห่งใหม่เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งการเดินทางระหว่าง 2 เมืองนี้ นอกจากขับรถไปเองแล้วก็มีเครื่องบินให้โดยสาร สนนราคาอยู่ที่ 160 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมารณ 5,200 บาท โดยเป็นเครื่องบินใบพัดขนาดเล็ก แบบที่นั่งไปเสียวหลังไป (ฮา) ใช้เวลาเดินทางราว 1-2 ชั่วโมง กับอีกช่องทางที่ผมเลือกใช้คือรถทัวร์ ที่มีให้เลือกหลายระดับทั้งอย่างดีจนถึงแบบรถแดงบ้านเรา ถ้าชนิดที่ดีที่สุดเป็นรถยี่ห้อ VOLVO ตกอยู่ที่ 7,000 จ๊าด หรือราว 230 บาท (ถูกกว่าราคาแท็กซี่ที่วิ่งในเมืองอีก) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง
ตลอดระยะทางผู้โดยสารจะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติจนเอียนเลยทีเดียว หันซ้ายก็จะเห็นภูเขาอยู่ไกลๆ เหลือบมองขวาก็เจอแต่ที่ราบสูง วิ่งไปฝุ่นคลุ้งไป และจะมีวิวนี้วิวเดียวตลอดโดยมีจุดพักรถให้แวะเข้าห้องน้ำ ทานอาหารอยู่กึ่งกลางระหว่างเส้นทาง หากโชคดีหน่อยอาจจะเห็นวัฒนธรรมแปลกๆ เช่น การจอดรถแล้วล้อมวงนั่งกินข้าวกันกับพื้นริมถนนท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ และแล้วเมื่อถึงจุดหมายภาพแรกที่เห็นก็ตรงกับที่ใครหลายคนเล่าขานให้ฟังชัดเจน เนปิดอว์แห่งนี้หากเทียบกับย่างกุ้งแล้วแทบจะเป็นเมืองร้างที่ไร้ชีวิต มีแต่โรงแรมและป่า โดยมีห้างสรรพสินค้าคล้ายๆ บิ๊กซีหรือโลตัสบ้านเราอยู่เพียง 2 แห่ง ขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามชานเมือง และโดยมากเป็นเพิงหรือกระต๊อบเท่านั้นบางหลังไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วยซ้ำ
หลังจากเริ่มปรับสภาพได้ผมก็ถือโอกาสแบกเป้ไปทำงานที่สนามวันนะ เต็กกี สนามหลักที่ใช้แข่งขัน ซึ่งเมื่อเห็นแล้วต้องยอมรับและยกนิ้วให้กับการออกแบบที่ได้มาตรฐาน แต่ถึงกระนั้นผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกลวงตาเท่านั้น เพราะบางครั้งท่ามกลางสิ่งก่อสร้างที่หรูหราโอ่อ่า ในหลืบของความเจริญคุณอาจจะเห็นเด็กตัวเล็กๆ กำลังคุ้ยขยะหาของกินประทังชีวิตโดยมีสุนัขหลายตัววนไปมาเพื่อรอจังหวะเข้าขย้ำอยู่ก็เป็นได้
ถึงกระนั้นช่วงเวลาแห่งความสุขก็มาถึงเมื่อทัพ “ช้างศึก” เรียงหน้ากันโกยเหรียญทองได้สำเร็จ ไล่ตั้งแต่ ฟุตซอลหญิงอัดเวียดนาม 5-0 ต่อด้วยโต๊ะเล็กชายถล่มเหงียน 8-1 และแข้งเนื้ออ่อนพลิกแซงสาวญวนเข้าวิน 2-1 ก่อนจะปิดที่ ฟุตบอลชาย เฉือน อินโดนีเซีย 1-0 คว้าเหรียญทองที่ 4 ส่งท้ายเป็นของขวัญปีใหม่ โดยเฉพาะแมตช์สุดท้ายที่ต่างฝ่ายต่างลุ้นกันเคร่งเครียด ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเดือดสวนทางกับสภาพอากาศ 12 องศาฯที่สนามเซยาร์ ธิรี จนเกือบจะมีการกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่นักบอลนะครับ แต่เป็นสื่อมวลชนของทั้ง 2 ชาติที่นั่งปะปนกันอยู่บนอัฒจันทร์
โดยมีชนวนเริ่มจากนักข่าวอิเหนารายหนึ่งที่ลุกขึ้นโวยวายแบบไร้เหตุผลประหนึ่งว่าทีมตนเองถูกผู้ตัดสินกลั่นแกล้งอยู่ตลอดทั้งเกม พร้อมตะโกนด่าท่อและเหน็บแนวฝั่งต้องข้ามไม่หยุดหย่อน ทำให้สื่อไทยเริ่มไม่พอใจ และมีการปะทะคารมกัน ซึ่งหมอนี่มีพฤติกรรมเช่นนี้ตั้งแต่รอบแรกแล้วจนหลายคนคิดว่าไม่น่าจะรอดจากเกมที่เจ้าภาพแพ้และคลุ้มคลั่งเผาสนามได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรบานปลาย ทุกคนต่างข่มอารมณ์เพื่อที่จะรีบรายงานผลชัยชนะกลับมาให้แฟนบอลชาวไทยได้รับทราบ ซึ่งวินาทีนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ก่อนจะกุลีกุจอเก็บอุปกรณ์ทำงานแล้วลงมาร่วมแสดงความดีใจกับนักเตะในสนาม
ต้องบอกว่าเหรียญทองนี้เป็นเหรียญที่ชาวไทยรอคอยอย่างแท้จริงหลังจากผิดหวังอย่างหนักใน 2 ครั้งที่ผ่านมา ทำให้บรรยากาศ ณ วินาทีนั้นเกินที่จะบรรยายออกมาได้ พูดได้แต่เพียงว่าสุดยอด และเป็นการปิดจ๊อบของผมและทีมงานอย่างมีความสุขก่อนจะเดินทางกลับมาตุภูมิในวันรุ่งขึ้น พร้อมตะโกนส่งท้ายดังๆ ว่า “ต๊าต๋า(ลาก่อน) เมียนมาร์” เพื่อบันทึกช่วงเวลาดีๆ ทั้งหมดไว้ในความทรงจำ