ASTVผู้จัดการรายวัน – ณ เวลานี้ต้องยอมรับว่าฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่ อยู่ในวังวนของความตกต่ำ พิสูจน์ได้จากการไร้ถ้วยรางวัลระดับภูมิภาคอย่าง ซีเกมส์ นับตั้งแต่จบปี 2007 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นเจ้าภาพ ดังนั้นแทบไม่ต้องไปมองถึงการผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นทัวร์นาเมนต์ที่ใหญ่กว่านั้นอย่าง เอเชียน คัพ 2015 ที่ 5 นัดแพ้รวดปิดฉากไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แน่นอนว่าทุกคนทราบถึงปัญหาที่ฉุดรั้งเป็นอย่างดี แต่ยังไม่มีใครสามารถนำมาจัดการแก้ไขให้สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรมได้เสียที
สมาคมกีฬาฯ หลังบ้านนั้นถือว่ามีบทบาทสำคัญมากในการผลักดัน ซึ่งหนึ่งในตำแหน่งของทีมฟุตบอลที่ทุกคนมองข้ามมาโดยตลอดก็คือผู้จัดการทีมจนนำมาสู่คำครหาที่ว่าเป็นเสมือนตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ใครมีเงินถุงเงินถังคอยสนับสนุนก็สามารถเข้ามาทำได้ บ้างก็ควบหลายงานจับปลาหลายมือจนอ้างว่าไม่มีเวลามาดูแลได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงกระนั้นก็ตามมีคนหนึ่งที่ไม่คิดเช่นนั้นและมองว่าหน้าที่นี้คืออีกปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่าง เกษม จริยวัฒน์วงศ์ หรือที่รู้จักกันว่า “บิ๊กกาเซ็ม”
เกษม เพิ่งทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชาติไทยชุดเฉพาะกิจไปคว้าแชมป์ “แม่โขง คัพ” ที่กัมพูชา เมื่อเดือนพฤศจิกายน มองว่าหน้าที่นี้สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในรูปแบบของมืออาชีพแบบเต็มตัวและต้องได้คนที่คลุกคลีกับลูกหนังจริงๆ โดยเกริ่นว่า “ผมว่าการทำทีมเป็นเรื่องเวลาและยุคสมัยมากกว่า หากตัวผู้จัดการทีมสามารถสื่อสารกับผู้เล่นด้วยความเข้าใจจบภายในครั้งเดียว ทุกอย่างจะง่ายขึ้นในการทำงานร่วมกัน”
ที่ผ่านมา เกษม เคยผ่านงานคุมทีมมาแล้วทั้งระดับเยาวชนไล่ตั้งแต่อายุ 12 ปีสมัยที่มี “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย ปัจจุบันคือแนวรุกของ บางกอกกล๊าส เอฟซี โดยเผยต่อไปว่า “หลังจากผ่านยุคนั้น ผมก็ยังได้รับโอกาสคุมทีมชุดปรีโอลิมปิก อีก 3-4 ชุดด้วยกัน การทำงานกับนักเตะระดับเยาวชนเป็นเรื่องที่ดีคือได้เห็นพัฒนาการของนักเตะแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น ดัสกร ทองเหลา, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว, ธีรศิลป์ แดงดา หรือใครต่อใครที่โด่งดังๆ อยู่ทุกวันนี้ล้วนผ่านมือผมมาแล้วทั้งนั้น”
“การเป็นผู้จัดการทีมต้องมีหลายสิ่งประกอบกัน สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือความเข้าใจในเรื่องเกมลูกหนัง ที่สำคัญต้องรู้จักเลือกคนมาทำงานที่เหมาะสม เช่นกันในกรณีของโค้ชทีมชาติไทย ในมุมมองของผมเชื่อว่าคนไทยเหมาะสมที่สุด วัฒนธรรมฟุตบอลของแต่ละชาติไม่เหมือนกัน เราก็เช่นกัน คนมาทำทีมต้องรู้ก่อนว่าบ้านเรามีแข่งขันเยอะมาก ไม่ใช่แค่ลีก ฟุตบอลถ้วย ยังมีระดับมหาวิทยาลัย เหล่าทัพ หน่วยงานราชการอีกจิปาถะ ดังนั้นต่างชาติจะไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ เหล่านี้ แต่คนไทยพูดกันง่าย มองตาก็เข้าใจ” อดีตผู้จัดการทีมชาติไทยชุดแชมป์ ซีเกมส์ ปี 2001 กล่าว
นอกจากบทบาทของผู้จัดการทีม เกษม ก็ยังมีกิจการรวมถึงงบประมาณที่พร้อมจะอัดฉีดและตบโบนัสถ้าหากประสบความสำเร็จ ทว่าทุกอย่างต้องมีเหตุมีผล “ผมเป็นนักธุรกิจ จึงมีความเชื่อว่าหากคนเราทำงานดีต้องมีค่าตอบแทนที่คุ้มค่า แต่ไม่ใช่คนที่ใช้เงินฟาดหัวนักกีฬา เพียงแค่เมื่อเขาทำหน้าที่อย่างทุ่มเทเต็มที่แล้ว ผลตอบแทนที่ส่งต่อกลับไปต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตที่รับได้”
ทั้งนี้อดีตผู้จัดการทีมปรีโอลิมปิกของไทยรายนี้ยังเผยความฝันของตัวเองด้วยว่า “ที่ผ่านมาผมรับงานผู้จัดการทีมชาติไทยในแต่ละชุดช่วงหลังๆ มามีแต่ชุดที่ถูกจำกัดอายุของผู้เล่น ซึ่งแชมป์ ซีเกมส์ ปี 2001 ที่มาเลเซีย ก็เป็นปีสุดท้ายที่ให้ผู้เล่นอายุเกิน 23 ปีลงสนามได้ โดยหวังที่จะได้คุมทีมชุดใหญ่ลงเล่นอีกครั้ง โดยเล็งไปที่ทัวร์นาเมนต์อาเซียนแชมเปียนชิป 2014 หวังว่าจะให้เป็นการเกษียณตัวเองจากวงการฟุตบอลของตัวเอง ซึ่งก็ต้องรอดูว่าจะได้รับโอกาสจากสมาคมฟุตบอลฯ หรือไม่”
“ผมไม่สามารถเป็นทหาร ตำรวจ รับใช้ประเทศชาติได้ ดังนั้นการที่ผมเป็นนักธุรกิจจึงหวังว่าจะได้ตอบแทนประเทศชาติ และประชาชนชาวไทยในทางอื่น ซึ่งมองแล้วความสุขจากฟุตบอลเป็นสิ่งที่ผมสามารถทำได้ดีที่สุด เพื่อให้ทุกคนในชาติมีความสุข” เกษม จริยวัฒน์วงศ์ กล่าวทิ้งท้าย
เกษม ถือเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่อาสาเข้ามาพัฒนาฟุตบอลทีมชาติไทย โดยสิ่งที่จะเป็นเครื่องตัดสินว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็คือจบทัวร์นาเมนต์ ซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ณ ประเทศพม่า มีหลายประเด็นต้องจับตาไม่ว่าจะเป็น ถ้า “ช้างศึก” สามารถทวงแชมป์กลับคืนมาได้ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อาจจะขึ้นมาคุมชุดใหญ่ต่อจาก สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ที่โบกมือลาไป รวมถึงตำแหน่งผู้จัดการทีมของ “บิ๊กโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ยังลูกผีลูกคน เพราะมีข่าวว่าจะโบกมืออำลาไป