เอเยนซี - ศึก พรีเมียร์ ลีก โม่แข้งผ่าน 11 นัด เซาแธมป์ตัน สอดแทรกอยู่ร่วมสโมสรระดับบิ๊กเนมอย่างน่าทึ่งด้วยตำแหน่งอันดับ 3 ทั้งที่เพิ่งเปลี่ยนมาฝากความหวังเอาไว้ในมือของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน กุนซือต่างชาติชาวอาร์เจนไตน์ แต่พื้นฐานกลับสร้างขึ้นด้วยแกนหลักที่เป็นแข้งอังกฤษครึ่งทีม โดยนัดล่าสุดที่เปิด เซนต์ แมรีส์ ถล่ม ฮัลล์ ซิตี 4-1 มีถึง 6 คนที่ลงสนาม ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะเป็นการต่อยอดให้ทัพ “สิงโตคำราม” ที่กำลังต้องการน้ำหล่อเลี้ยงเป็นแข้งเลือดใหม่ผลักดันให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จระดับเวทีโลก
เซาแธมป์ตัน คือม้ามืดตัวจริงเสียงจริงช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล เพราะตามหลังจ่าฝูง อาร์เซนอล 2 แต้ม แถมแพ้ไปแค่นัดเดียวเท่ากับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยผลงานที่ประจักษ์ไปแล้วกับการไปเยือน 2 นัดเอาชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 และเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 นอกจากแข้งอังกฤษที่ โปเช็ตติโน ให้ความเชื่อมั่นส่งลงสนามก็ต้องชมการเสริมทัพอย่าง เดยัน ลอฟเรน (กองหลังจาก โอลิมปิก ลียง ค่าตัว 8.5 ล้านปอนด์ราว 425 ล้านบาท) และ วิคเตอร์ วานยามา (กองกลางจาก กลาสโกว์ เซลติก ค่าตัว 12.5 ล้านปอนด์ราว 625 ล้านบาท)
เมื่อทุกอย่างผสมกลมกล่อมทั้ง แข้งอังกฤษ ตัวต่างชาติ และที่ตบเท้าเข้ามาใหม่ จนผลงานเข้าตา ทำให้ รอย ฮอดจ์สัน อดไม่ได้ที่จะเรียก 3 แกนหลักของ เซาแธมป์ตัน ติดธงอุ่นเครื่อง 2 นัดที่จะเปิด เวมบลีย์ พบ ชิลี วันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ตามด้วยพบ เยอรมนี อีก 4 วันให้หลัง ทั้ง อดัม ลัลลานา (กองกลาง) และ เจย์ โรดริเกวซ (แนวรุก) โดย 2 คนนี้ลุ้นลงสนามเพื่อติดธงนัดแรก ด้าน ริคกี แลมเบิร์ต หอกวัย 31 ปีลงไปแล้ว 3 นัดซัดไปถึง 2 ประตู
ถ้า ลัลลานา และ โรดริเกวซ ทำผลงานยอดเยี่ยมเหมือน แลมเบิร์ต ก็อาจจะเป็นใบเบิกทางให้แข้งดาวรุ่ง เซาแธมป์ตัน รายอื่นที่รอตบเท้ารับใช้ชาติทั้ง นาธาเนียล ไคลน์ (22 ปี) และ ลุค ชอว์ (18 ปี) 2 กองหลัง รวมไปถึง เจมส์ วอร์ด-พราวส์ กองกลางอายุ 19 ปี ซึ่งก็เชื่อว่า ฮ็อดจ์สัน กำลังจับตาดูอยู่อย่างแน่นอน ไม่แน่จับพลัดจับผลูใครอาจจะได้ไปลุยฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลก็เป็นได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อังกฤษ จะเตะทีมชาติแต่ละครั้งกวาดสายตามีแต่นักเตะระดับซีเนียร์จาก แมนฯยู, เชลซี และ ลิเวอร์พูล เสียเป็นส่วนใหญ่ ท่ามกลางธุรกิจลูกหนังที่เจริญงอกงามนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในลีกพร้อมกับเงินที่ซื้อแข้งระดับซูเปอร์สตาร์เสริมทัพ ซึ่งวัฒนธรรมแบบนี้กลายเป็นหอกทิ่มแทงนักเตะท้องถิ่นที่ไม่ได้โชว์ฝีเท้าจนผู้จัดการทีมไม่มีทางเลือกมากนักในการใช้งานเพื่อที่จะพา “สิงโตคำราม” ก้าวไปประสบความสำเร็จต่อจากแชมป์โลกปี 1966 หรือจะให้ใกล้เคียงก็ยังแทบทำไม่ได้
แต่ตอนนี้ เซาแธมป์ตัน ได้กลายเป็นเหมือนพิมพ์เขียวไปแล้ว เพราะทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นแค่ปีหรือ 2 ปี เพราะสนามซ้อม มาร์ชวูด ได้ผลิตแข้งออกมาและขายให้สโมสรอื่นทำเงินไปแล้วมากมายอย่าง ธีโอ วัลคอตต์ และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (อาร์เซนอล) ล่าสุดก็ แกเร็ธ เบล ปีกเวลส์ที่ไปเป็นแข้งค่าตัวแพงที่สุดในโลกของ รีล มาดริด จาก ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ แสดงให้เห็นถึงทรัพยากรนักเตะและระบบที่มีคุณภาพ เพราะถ้าจะย้อนไปไกลอีกหน่อยคงไม่มีใครไม่รู้จัก แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ และ อลัน เชียเรอร์ ที่ก็แจ้งเกิดมากับ “เดอะ เซนต์ส”
สำหรับเป้าหมายของ นิโกลา คอร์เทส ประธานสโมสร เซาแธมป์ตัน ที่ตั้งเอาไว้คือพาทีมจาก ลีก วัน ไปเล่น ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ให้ได้ จึงได้ศึกษาแนวทางสโมสรทั่วโลก แต่ยืนยันว่าไม่ได้ใช่การลอกเลียนแบบ “สิ่งสำคัญคือเรียนรู้ ดูอย่าง ลา มาเซีย อคาเดมีของ บาร์เซโลนา ที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ซึ่งเราทำได้ตามปรัชญาที่เพียงแค่คล้ายคลึงกัน การสร้างเยาวชนสำคัญมาก เพราะเหมือนธุรกิจที่ต้องมาจากพื้นฐานถึงจะหยั่งยืน จึงอยากเห็นแกนหลักที่มาจากเยาวชนยืนหยัดบน พรีเมียร์ ลีก ให้ได้”
ซัมเมอร์ที่ผ่านมา เซาแธมป์ตัน ใช้เงินเสริมทัพไปอื้อซ่า แต่ คอร์เทส ก็มีวิสัยทัศน์ที่กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนเพื่อความสำเร็จ โดยได้อนุมัติอีก 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) สร้างสนามซ้อมที่น่าจะเสร็จช่วงต้นปีหน้า รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับนักเตะระดับเยาวชนไปจนถึงชุดใหญ่ ด้าน โปเช็ตติโน ที่สมัยค้าแข้งเล่นตำแหน่งกองหลังและโตมากับชุดเยาวชนของ นีเวลล์ส โอลด์ บอย มองว่า “แข้งอังกฤษมีอนาคตที่ดี ทั้งเทคนิคและความกล้าที่จะโชว์ในสนาม หน้าที่ของเราก็คือส่งเสริมให้นักเตะท้องถิ่นมีโอกาสก้าวไปข้างหน้า”
ยังมีแข้งดาวรุ่งของ เซาแธมป์ตัน ที่จ่อคิวขึ้นมาโชว์ฝีเท้าอีกเพียบ ซึ่งอยากให้จำชื่อไว้ทั้ง คาลัม แชมเบอร์ส, แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์, แฮร์ริสัน รีด, โอมาร์ โรว์, เจ๊ค ซินแคลร์ และ จอร์แดน เทิร์นบูลล์ ซึ่งจากนี้ ฮอดจ์สัน ก็ได้แต่เพียงหวังว่าบรรดาสโมสรอื่นจะใช้แนวทางของ “นักบุญ” เป็นแรงบันดาลใจและริเริ่มที่จะเดินตามรอย
