ทอม เบรดี จอมทัพซูเปอร์สตาร์ นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ และ โจ แฟล็กโก ควอเตอร์แบ็กผู้นำ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ เป็นแชมป์ซูเปอร์โบว์ลซีซันก่อน ติดโผสตาร์ศึกอเมริกัน ฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ที่ไม่คุ้มค่าจ้างเอาเสียเลย
10. โจเอล ดรีสเซน และ จาค็อบ แทมเม (เดนเวอร์ บรองโกส์)
ปีก่อนยังเป็นคู่ปีกในที่น่าจับตามอง ทว่าฤดูกาล 2013/14 ดรีสเซน กับ แทมเม กลับรับบอลรวมกันได้แค่ 6 ครั้ง ได้ระยะเพียง 50 หลา ด้วยค่าจ้างรวมกัน 6,791,666 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 203 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับ จูเลียส โธมัส ที่รับค่าเหนื่อยเพียง 5.55 แสนเหรียญฯ (ประมาณ 16.5 ล้านบาท) แต่รับบอลไปแล้ว 39 หน ได้ระยะ 451 หลา 8 ทัชดาวน์ ถือว่าผลงานต่างกันลิบลับทีเดียว
9. ทอม เบรดี (นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์)
ยอมลดค่าจ้างลงมาเพื่อช่วย แพทริออตส์ เซฟแคป แต่ค่าเหนื่อยของ เบรดี เฉลี่ยก็ยังอยู่ปีละ 18 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 540 ล้านบาท) โดยซีซันนี้ ควอเตอร์แบ็กดีกรี 3 แชมป์ ที่รับค่าจ้างอยู่ที่ 13.8 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 414 ล้านบาท) กลับทำผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน ขว้างบอลคอมพลีตแค่ 55.7 เปอร์เซ็นต์ ได้ระยะ 1,824 หลา มีเพียง 9 ทัชดาวน์ เสีย 6 อินเทอร์เซปต์ นั่นคงเป็นเพราะปีกตัวเลือกมีให้ใช้จำกัดจำเขี่ย
8. เจมส์ เคซีย์ (ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์)
เป็นปีกในที่ชื่อไม่ค่อยเป็นที่คุ้นของแฟนๆ อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลก่อน เคซีย์ รับบอลไป 34 ครั้ง ได้ระยะ 330 หลา 3 สกอร์กับ ฮุสตัน เท็กแซนส์ ทำให้ อีเกิลส์ สอยมาจากตลาดฟรีเอเยนต์ ให้ค่าเหนื่อยหลัก 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 120 ล้านบาท) แต่ผู้เล่นวัย 29 ปี เพิ่งรับบอลได้เพียง 2 ครั้ง ได้ระยะ 23 หลา เห็นทีอนาคตในรัง “อินทรีมรกต” ริบหรี่เต็มที
7. ซานโตนิโอ โฮล์มส (นิวยอร์ก เจ็ตส์)
เป็นยอดปีกนอก หากสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์ แต่นี่ โฮล์มส ต้องพักอยู่ข้างสนามเป็นเกมที่ 4 ติดต่อกัน จากอาการบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อหลังเข่า ด้วยค่าจ้างระดับ 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 270 ล้านบาท) งานนี้ต้องบอกว่า เจ็ตส์ ยังไม่สามารถใช้งานปีกวัย 29 ปี ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย รับบอล 10 ครั้ง 243 หลา 1 ทัชดาวน์ แฟนๆ ได้แต่หวังว่าเขาจะกลับมาได้เหมือน เดอร์ริค โรส การ์ดจ่ายสตาร์ ชิคาโก บูลส์ ในลีกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) ที่เลือกพักยาวแล้วกลับมาได้อย่างแข็งแกร่ง
6. เหล่าควอเตอร์แบ็ก มินเนโซตา ไวกิงส์
ค่าจ้างรวมกันแพงถึง 8.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 254 ล้านบาท) อย่างไรก็ดี ไม่ว่าใครลงสนามนำทัพทั้ง คริสเตียน พอนเดอร์, แมตต์ แคสเซิล หรือว่า จอช ฟรีแมน ที่เพิ่งดึงมาจาก แทมปาเบย์ บัคคาเนียร์ส ทว่าผลงานยังไม่เอาอ่าว จึงไม่น่าแปลกใจที่ ไวกิงส์ สถิติชนะแค่ 1 แพ้ 6 เกม
5. พอล ครูเกอร์ (คลีฟแลนด์ บราวน์ส)
จัดเป็น ไลน์แบ็กเกอร์ ชั้นดีคนหนึ่งของลีก แต่ด้วยสัญญาแพงระยับ 8.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 246 ล้านบาท) กับผลงานแท็กเกิลคู่แข่งได้เพียง 21 หน ในฤดูกาลนี้ แซ็คควอเตอร์แบ็กแค่ 2.5 ครั้งจาก 7 เกม จึงต้องรับสภาพเมื่อโดนนำมาเปรียบผลงานกับค่าเหนื่อยที่ดูเกินจริงไปเยอะ
4. โจชัว มอร์แกน (วอชิงตัน เรดสกินส์)
มีบทบาทอยู่ใน “ทีมพิเศษ” รับบอลวิ่งย้อนคิกออฟ 6 หน ได้ไป 116 หลา ไกลสุดเพียง 24 หลา และก็รับบอลเมื่อลงมาลุยกับ “ทีมบุก” 11 ครั้ง 124 หลา ยังไม่มีสกอร์ ทำให้ค่าเหนื่อยระดับ 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 150 ล้านบาท) ของ มอร์แกน ดูแพงขึ้นมาในทันที กับความคาดหวังของแฟนๆ เรดสกินส์ ที่อยากเห็นเขาเป็น “อาวุธลับ” ที่คมกว่านี้
3. โจ แฟล็กโก (บัลติมอร์ เรฟเวนส์)
เป็นควอเตอร์แบ็กที่ไม่เคยขว้างได้เกิน 25 ทัชดาวน์ เลยในแต่ละซีซัน แต่เมื่อช่วงต้นปีการนำ “อีกาพญายม” จิกแชมป์ซูเปอร์โบว์ลสำเร็จ ทำให้บอร์ดบริหารตอบแทนด้วยการมอบสัญญาก้อนโตให้ ปีนี้ได้ค่าจ้างถึง 20.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 600 ล้านบาท) แต่ในสายตาของแฟนๆ คนชนคนมองว่า สตาร์วัย 28 ปี น่าจะทำได้ดีกว่าการขว้างไป 8 ทัชดาวน์ เสีย 8 อินเทอร์เซปต์ แม้ได้ระยะไปแล้ว 1,917 หลา ก็ตาม
2. เรด ไบรอันท์ (ซีแอตเทิล ซีฮอว์คส)
เป็นผู้เล่นค่าจ้างแพงสุดลำดับที่ 2 ใน “ทีมรับ” เมื่อได้เงินเข้ากระเป๋าซีซันนี้ถึง 7.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 228 ล้านบาท) ค่าเหนื่อยแพงอันดับ 5 ของซีฮอว์คส ในฤดูกาลนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ดีเฟนซีฟ เอนด์ ประสบการณ์ปีที่ 6 เพิ่งได้ยอดแซ็คเพียง 2.5 ครั้ง แท็กเกิลคู่แข่งก็เพียง 70 หนช่วงสามซีซันหลัง จึงพูดได้เลยว่า นี่เป็นสตาร์ที่ได้ค่าเหนื่อยแพงเกินจริง
1. มาร์ค ซานเชซ (นิวยอร์ก เจ็ตส์)
เป็นหนึ่งใน “จอมทัพ” เข้าขั้นห่วยสุดของลีก เมื่อไม่เคยขว้างบอลได้ระยะถึง 3,500 หลาเลย เสียถึง 18 อินเทอร์เซปต์ ในสองฤดูกาลที่ผ่านมา แถมทำเสียฟัมเบิลเป็นว่าเล่น ซีซันนี้โอกาสคืนสนามแทบไม่มีแล้วเมื่อบาดเจ็บ อีกทั้งการที่ จีโน สมิธ ปรับตัวกับการเล่นอาชีพปีแรกได้ดีขึ้น จากที่ฟอร์มห่วยช่วงพรีซีซัน ทำให้แฟนๆ เจ็ตส์ คงไม่อยากเห็น ซานเชซ กลับมาลงสนามอีกก็เป็นได้ เพราะปีนี้ก็กินค่าจ้างไปฟรีๆ 12.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 385 ล้านบาท)