ASTV ผู้จัดการรายวัน - ศึกอเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) เตรียมระเบิดความมันฤดูกาล 2013-14 ต้นเดือนกันยายนนี้แล้ว ซึ่งทีมข่าว MGR Sport จับประเด็น การพิสูจน์ตัวเองของ “ควอเตอร์แบ็ก” ซึ่งเป็นเรื่องปกติต้องเจอตั้งคำถามที่ว่า โจ แฟล็กโก ดีพอนำ เรฟเวนส์ ป้องกันแชมป์จริงหรือ โทนี โรโม คู่ควรกับสัญญามหาศาลจาก คาวบอยส์ ? หรือแม้แต่ โรเบิร์ต กริฟฟิน เดอะ เธิร์ด จะโดดเด่นกับ เรดสกินส์ อีกแค่ไหน หลังประสบปัญหาบาดเจ็บหนักมา
1.โจ แฟล็กโก (บัลติมอร์ เรฟเวนส์)
สร้างเซอร์ไพรส์ทุบ เดนเวอร์ บรองโกส์ และ นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ 2 ตัวเต็งสาย AFC รอบเพลย์ออฟเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก่อนพา เรฟเวนส์ เถลิงแชมป์ซูเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 47 เมื่อเข้าสู่ซีซัน 2013-14 ควอเตอร์แบ็กร่างโย่ง ต้องแบกรับความกดดันจากค่าจ้าง 6 ปี 120.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.6 พันล้านบาท) แถมต้องขึ้นมาเป็นผู้นำแทน เรย์ ลูอิส อดีตไลน์แบ็กเกอร์ลูกพี่ใหญ่ ภารกิจซิวโทรฟี “วินซ์ ลอมบาร์ดี” ว่ายากแล้ว การป้องกันมันไว้ในตู้โชว์ของทีมย่อมยากกว่าเป็นสองเท่า สำหรับจอมทัพเจ้าของส่วนสูง 6 ฟุต 5 นิ้ว
2. โทนี โรโม (ดัลลัส คาวบอยส์)
การอยู่กับแฟรนไชส์ที่ได้รับการขนานนามว่า “อเมริกาทีม” ยิ่งเพิ่งได้สัญาแพงสุดในประวัติศาสตร์ ดัลลัส คาวบอยส์ 6 ปี 108 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 3.24 พันล้านบาท) จึงนำพาความกดดันถาโถมใส่ โรโม การได้โอกาสบัญชาทีมบุกมาแล้วถึง 7 ปี แต่ไร้ซึ่งความสำเร็จ ตอนนี้สื่อมะกัน รวมถึงแฟนๆ เริ่มตั้งคำถามอีกครั้งหนึ่งว่า การตัดสินใจเดิมพันของ เจอร์รี โจนส์ คุ้มกับการลงทุนหรือไม่ และแชมป์จะมาในยุคของ โรโม จริงหรือ
3. โรเบิร์ต กริฟฟิน เดอะ เธิร์ด (วอชิงตัน เรดสกินส์)
คว้ารางวัล “รุกกี ออฟ เดอะ เยียร์” ก่อนโชคร้ายบาดเจ็บเอ็นหัวเข่า เกมไวลด์ การ์ด กับ ซีแอตเติล ซีฮอว์คส์ จนคาดว่าต้องพักยาว 8-12 เดือน ทว่า “อาร์จีทรี” แสดงให้เห็นถึงความเป็นยอดนักกีฬา ฟื้นตัวเร็วกว่ากำหนด มีลุ้นนำพลพรรค “อินเดียนแดง” เปิดหัวซีซันใหม่ อย่างไรก็ตาม ความเห็นแพทย์ระบุตั้งแต่ขึ้นเขียง หนุ่มจากมหาวิทยาลัยเบย์เลอร์ อาจสูญเสียความเร็วในการวิ่งอันเป็นจุดเด่นของผู้เล่นดราฟต์เบอร์ 2 ปี 2012 ดังนั้นแฟนๆ เรดสกินส์ จึงต้องติดตามว่าจอมทัพวัย 22 ปี จะกลับมาเก่งกาจได้เหมือนเดิมหรือไม่
4. เบน โรธลิสเบอร์เกอร์ (พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส)
“บิ๊กเบน” บาดเจ็บหัวไหล่และซี่โครง ส่งผลให้ “คนเหล็ก” ชวดตั๋วเพลย์ออฟหนแรกรอบ 3 ปี โดยในฤดูกาล 2013-14 สตีลเลอร์ส เลือกเขี่ย บายรอน เลฟวิช และ ชาร์ลี แบตช์ สองสำรองตัวเก๋า ก่อนดราฟต์ บรูซ กราคอฟสกี และ แลนดรี โจนส์ สองดาวรุ่งมาเป็นกำลังเสริมตำแหน่งจอมทัพ ดังนั้นอาจเป็นสัญญาณว่า หาก โรธลิสเบอร์เกอร์ คัมแบ็กแล้วไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งได้เหมือนสมัยนำพาทีมเป็นแชมป์เมื่อปี 2006 และ 2009 ก็อาจถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้วเช่นกัน
5. โคลิน เคเปอร์นิค (ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส)
ฉวยโอกาสช่วง อเล็กซ์ สมิธ มือ 1 ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง นำทัพ 7 เกมสุดท้ายของฤดูกาลปกติจนลิ่วชิงซูเปอร์โบว์ล ซีซันที่ผ่านมา คราวนี้ เคเปอร์นิค ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างเต็มตัว การถูกยกเป็นว่าที่ตำนาน ทำให้ จอมทัพวัย 25 ปี ต้องพิสูจน์ฝีมือว่าเป็นของจริง หรือแค่สร้างความหวือหวาเพียง 1 ปี เฉกเช่น แมตต์ แคสเซล ที่แจ้งเกิดกับ นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ แล้วดับอนาถกับ แคนซัส ซิตี ชีฟส์ ที่สำคัญ เคเปอร์นิค ยังต้องรับมือ เรื่องอาถรรพ์รองแชมป์ที่เล่นงาน แดน มาริโน ตำนานไมอามี ดอลฟินส์ ซึ่งปรากฏตัวแค่ครั้งเดียว เมื่อปี 1985 และไม่เคยสัมผัสบรรยากาศ “ซูเปอร์โบว์ล” อีกเลย
6. ไมเคิล วิค (ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์)
เคยดังเป็นพลุแตกสมัยเป็นนัมเบบอร์วันดราฟต์ ปี 2001 ในฐานะผู้เล่น แอตแลนตา ฟอลคอนส์ แต่ วิค กลับถูกแบนเนื่องจากต้องคดีทารุณสัตว์ (กัดสุนัข) ติดคุกอยู่ 2 ปี ก่อนคืนสังเวียนพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งกับ ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ เมื่อปี 2009 ขึ้นมาบัญชาการทีมบุกเต็มตัวตลอด ทว่าผลงานยังไม่เปรี้ยงเท่าที่ควร แถมถูกการบาดเจ็บเล่นงาน อย่างไรก็ตาม วิค ยังได้รับความไว้วางใจ นำทัพ “อินทรีมรกต” ด้วยสัญญา 1 ปี 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 300 ล้านบาท) ซึ่งนี่ถือเป็นฤดูกาลแห่งการเดิมพันหน้าที่การงานในวงการต่อไปก็ว่าได้
