คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ผู้เคยก้าวไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาแล้ว จะประสบพบเจอกับความเสื่อมในปัจจุบัน จากเหตุการณ์คลิป “ถั่งเช่า” ที่มีเสียงสนทนาคล้ายๆ ว่าจะเป็น “บิ๊กอ๊อด” กับ “คนไกล” ซึ่งเนื้อหาก็พูดคุยกันไม่พ้นเรื่องการพาใครบางคนกลับบ้าน หลังจากเคยช่วยเหลือให้ได้ออกนอกประเทศไปชมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่ประเทศจีน มาแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องการวิเคราะห์สถานการณ์ในกองทัพไทย จนไปถึงเรื่องสุขภาพทางเพศของชายชาติทหารในวัย 76 ปี
รายละเอียดคงไม่ต้องลงลึกกันมาก เพราะทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่า “บิ๊กอ๊อด” นอกจากจะสวมหมวกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในปัจจุบันแล้ว ยังได้รับเกียรติอันสูงส่งด้วยการนั่งในตำแหน่งประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของผู้คนในแวดวงกีฬา ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ในการทำงานตำแหน่งนี้ ต้องยอมรับว่ามีผลงานไม่น้อย
โดยเฉพาะการใช้สายสัมพันธ์ทางทหารที่มีต่อนายทหารระดับสูงของประเทศเพื่อนบ้านที่ล้วนมีอิทธิพลระดับขาใหญ่ในวงการเมือง และกีฬาของแต่ละประเทศช่วยเหลือผ่อนหนักผ่อนเบาเป็นประโยชน์ในการประสานงานช่วยเหลือวงการกีฬาไทยเป็นยิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจดจำ และมองข้ามไม่ได้เลย
แต่การแสดงตัวตนที่แท้จริงด้วยความอยากเป็น “หนู” เพื่อช่วยเหลือบุคคลผู้เป็นนักโทษอาญาแผ่นดินหนีกฎหมายหัวซุกหัวซุนในฐานะ “ราชสีห์” นั้น น่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายบ้านเมือง ผิดคุณธรรม ห่างไกลจากคุณงามความดี และสิ่งต่างๆ เหล่านี้พากันหักกลบลบภาพของผู้ใหญ่ใจกว้างในวงการกีฬาอย่างที่ควรให้ความนับถือไปแทบหมดสิ้นกันเลยทีเดียว
ร้ายยิ่งกว่าคือการออกมาแก้ต่าง ด้วยคำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็น “อุบัติเหตุ” ทางการเมือง เป็นเรื่องสกปรกโสมม หยาบช้า ใส่ร้ายป้ายสี ถ้าฟังผ่านๆ ก็อาจคล้อยตาม แต่พอลองมานั่งคิดดูอีกที ทำไมถ้าเรื่องต่างๆ เหล่านี้มันไม่จริง ไม่มีมูล ไม่ใช่เสียงของตัวเอง ทำไมถึงไม่ฟ้องร้องเอาผิดคนปล่อยคลิป ปล่อยข่าวดังกล่าว เห็นพอปะหน้านักข่าวผู้ยิ่งใหญ่แห่งกระทรวงกลาโหมในวัย 76 ปี ก็วิ่งแจ้นหนีหน้าสื่อกันยกใหญ่ นี่หรือคือคนเดียวกับประมุขผู้นั่งบัลลังก์โอลิมปิกไทย ดูแล้วไม่สง่างามเอาเสียเลย
ที่สลดหดหู่ใจเข้าไปอีก คือการได้เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการกีฬาอีกหลายคน ไล่ไปตั้งแต่ปลัดกระทรวงกีฬาฯ จนถึงนายกสมาคมกีฬาต่างๆ ร่วมแรงร่วมใจกันนำกระเช้าดอกไม้ (ดีที่ไม่มีกระเช้าถั่งเช่า) ไปให้กำลังใจให้ฝ่ามรสุมทางการเมืองครั้งนี้ไปให้ได้ ยิ่งรู้สึกว่ามันเสื่อมหนักกันเข้าไปใหญ่ ใครต่อใครต่างเห็นดีเห็นงามกับการพูดคุยโทรศัพท์กับนักโทษหนีคดีแผ่นดิน และเรียกขานทุกคำว่า “นาย” อย่างพินอบพิเทาแบบนี้ ก็สมควรแล้วที่วงการกีฬาบ้านเราจะวุ่นวายไร้เสาหลักกันขนาดนี้ ก็มัน “เสื่อม” กันไปหมดแล้วทั้งวงการ...เฮ้อ
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ผู้เคยก้าวไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาแล้ว จะประสบพบเจอกับความเสื่อมในปัจจุบัน จากเหตุการณ์คลิป “ถั่งเช่า” ที่มีเสียงสนทนาคล้ายๆ ว่าจะเป็น “บิ๊กอ๊อด” กับ “คนไกล” ซึ่งเนื้อหาก็พูดคุยกันไม่พ้นเรื่องการพาใครบางคนกลับบ้าน หลังจากเคยช่วยเหลือให้ได้ออกนอกประเทศไปชมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่ประเทศจีน มาแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องการวิเคราะห์สถานการณ์ในกองทัพไทย จนไปถึงเรื่องสุขภาพทางเพศของชายชาติทหารในวัย 76 ปี
รายละเอียดคงไม่ต้องลงลึกกันมาก เพราะทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่า “บิ๊กอ๊อด” นอกจากจะสวมหมวกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในปัจจุบันแล้ว ยังได้รับเกียรติอันสูงส่งด้วยการนั่งในตำแหน่งประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของผู้คนในแวดวงกีฬา ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ในการทำงานตำแหน่งนี้ ต้องยอมรับว่ามีผลงานไม่น้อย
โดยเฉพาะการใช้สายสัมพันธ์ทางทหารที่มีต่อนายทหารระดับสูงของประเทศเพื่อนบ้านที่ล้วนมีอิทธิพลระดับขาใหญ่ในวงการเมือง และกีฬาของแต่ละประเทศช่วยเหลือผ่อนหนักผ่อนเบาเป็นประโยชน์ในการประสานงานช่วยเหลือวงการกีฬาไทยเป็นยิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจดจำ และมองข้ามไม่ได้เลย
แต่การแสดงตัวตนที่แท้จริงด้วยความอยากเป็น “หนู” เพื่อช่วยเหลือบุคคลผู้เป็นนักโทษอาญาแผ่นดินหนีกฎหมายหัวซุกหัวซุนในฐานะ “ราชสีห์” นั้น น่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายบ้านเมือง ผิดคุณธรรม ห่างไกลจากคุณงามความดี และสิ่งต่างๆ เหล่านี้พากันหักกลบลบภาพของผู้ใหญ่ใจกว้างในวงการกีฬาอย่างที่ควรให้ความนับถือไปแทบหมดสิ้นกันเลยทีเดียว
ร้ายยิ่งกว่าคือการออกมาแก้ต่าง ด้วยคำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็น “อุบัติเหตุ” ทางการเมือง เป็นเรื่องสกปรกโสมม หยาบช้า ใส่ร้ายป้ายสี ถ้าฟังผ่านๆ ก็อาจคล้อยตาม แต่พอลองมานั่งคิดดูอีกที ทำไมถ้าเรื่องต่างๆ เหล่านี้มันไม่จริง ไม่มีมูล ไม่ใช่เสียงของตัวเอง ทำไมถึงไม่ฟ้องร้องเอาผิดคนปล่อยคลิป ปล่อยข่าวดังกล่าว เห็นพอปะหน้านักข่าวผู้ยิ่งใหญ่แห่งกระทรวงกลาโหมในวัย 76 ปี ก็วิ่งแจ้นหนีหน้าสื่อกันยกใหญ่ นี่หรือคือคนเดียวกับประมุขผู้นั่งบัลลังก์โอลิมปิกไทย ดูแล้วไม่สง่างามเอาเสียเลย
ที่สลดหดหู่ใจเข้าไปอีก คือการได้เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการกีฬาอีกหลายคน ไล่ไปตั้งแต่ปลัดกระทรวงกีฬาฯ จนถึงนายกสมาคมกีฬาต่างๆ ร่วมแรงร่วมใจกันนำกระเช้าดอกไม้ (ดีที่ไม่มีกระเช้าถั่งเช่า) ไปให้กำลังใจให้ฝ่ามรสุมทางการเมืองครั้งนี้ไปให้ได้ ยิ่งรู้สึกว่ามันเสื่อมหนักกันเข้าไปใหญ่ ใครต่อใครต่างเห็นดีเห็นงามกับการพูดคุยโทรศัพท์กับนักโทษหนีคดีแผ่นดิน และเรียกขานทุกคำว่า “นาย” อย่างพินอบพิเทาแบบนี้ ก็สมควรแล้วที่วงการกีฬาบ้านเราจะวุ่นวายไร้เสาหลักกันขนาดนี้ ก็มัน “เสื่อม” กันไปหมดแล้วทั้งวงการ...เฮ้อ