“กู๊ดบาย” ตำนาน พรีเมียร์ฯฤดูอำลา

เอเยนซี - ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2012-13 ลาโรงไปแล้วเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ละสโมสรต่างสุขเศร้าเคล้าน้ำตาสมหวังปะปนกันไป อย่างไรก็ตามถือเป็นปีที่ปิดฉากพร้อมกับการนัดอำลาสนามของบรรดาแข้งระดับตำนานหลายต่อหลายคน รวมถึงกุนซือ ซึ่งทั้งหมดล้วนต่างถูกจารึกชื่อไว้เป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว

น่าจะยังติดตาคอลูกหนังสำหรับลีลากระชากบอลเข้าไปยิงประตูของ ไมเคิล โอเวน เจ้าของฉายา “เบบี้โกล” ที่ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่กับ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่กลางทศวรรษ 90 ใครจะเชื่อว่าตอนนี้อายุ 33 ปีแล้ว โดย 16 นาทีสุดท้าย คือที่ลงมาเป็นสำรองเกม สโต๊ก ซิตี บุกเสมอ เซาแธมป์ตัน 1-1 กราฟชีวิตของอดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษตกลงเรื่อยๆ ทันทีที่ลาถิ่น แอนฟิลด์ เมื่อปี 2004 ไปอยู่กับ รีล มาดริด ก่อนซมซานกลับมาบ้านเกิด อย่างไรก็ตามช่วงรุ่งๆ ก็ถือว่าหากองหลังคนใดในโลกหยุดยากเหมือนกัน พร้อมฝากผลงานอันดับ 7 ดาวยิงตลอดกาล พรีเมียร์ ลีก เอาไว้ที่ 150 ประตู ส่วนทีมชาติอังกฤษยิงไป 40 ประตูรั้งอันดับ 4 เหลืออีกแค่ 10 ลูกก็จะแซงหน้า เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ถือว่าน่าเสียดายไม่น้อย

ถัดมาคืออดีตเพื่อนร่วมชายคา แอนฟิลด์ ของ โอเวน คือ เจมี คาร์ราเกอร์ ขึ้นชุดใหญ่ ลิเวอร์พูล ฤดูกาลเดียวกันคือ 1996-97 โดยนัดสุดท้ายได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเปิดบ้านชนะ ควีนสปาร์ก เรนเจอร์ส 1-0 ซึ่งเกือบปิดฉากอย่างสุดหรูเพราะตะบันไกล 30 หลาเสียดายที่ไปชนคานไม่เช่นนั้นจะยิงประตูได้ทั้งนัดเปิดตัวและปิดตัวที่ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ซึ่งนัดที่ 737 ของแข้งวัย 35 ปีที่ตลอดระยะเวลา 16 ปีไม่เคยมีโทรศัพท์จากเอเยนต์เกี่ยวกับข้อเสนอย้ายทีมเลย ถูกเปลี่ยนตัวออกตามธรรมเนียมนาที 86 เพื่อให้แฟนบอลได้สแตนดิงโอเวอร์ชันปรบมือเป็นเกียรติ

ตัดมาที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปเสมอ เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน 5-5 พร้อมปิดฉาก พอล สโคลส์ กองกลางที่เคยได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในโลกด้วยสไตล์เล่นฉลาดจ่ายบอลคมทั้งสั้นและยาวรวมถึงยิงไกลดี ลงเล่น 21 นาทีพร้อมกับรับใบเหลืองไปเป็นที่ระลึกถือว่ายังไม่ทิ้งลายแม้ว่าจะวัย 38 ปีแล้ว เนื่องจากมักจะโดนใบเหลืองแบบไม่จำเป็นหลายต่อหลายครั้งรวมรับไป 99 ใบ ถือเป็นอันดับ 3 ของ พรีเมียร์ ลีก ซึ่งการแขวนสตั๊ดครั้งนี้คงไม่มีกลืนน้ำลาย หลังจากฤดูกาลที่แล้วคืนสนามกู้ปัญหาแดนกลางให้กับถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

นอกจากนี้ยังมีเพื่อนร่วมกลุ่ม “ลูกนกหัดบิน” ของ สโคลส์ ที่น่าจะประกาศอำลาช่วงซัมเมอร์นี้เช่นเดียวกันคือ ฟิล เนวิลล์ ตัวรับสารพัดประโยชน์ของ เอฟเวอร์ตัน โดยตอนนี้กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับอนาคต ซึ่งเกมที่บุกพ่าย เชลซี 1-2 ก็ไม่มีชื่อทั้งตัวจริงและตัวสำรอง มีความเป็นไปได้ที่แข้งวัย 36 ปีจะผันตัวเองไปเป็นสตาฟฟ์ ดีไม่ดีอาจจะขึ้นชั้นโค้ชใหญ่ถิ่น กูดิสัน ปาร์ค ก็เป็นได้

ส่วนอีก 2 รายก็คือ สตีฟ ฮาร์เปอร์ ผู้รักษาประตูที่ปักหลักกับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด มาถึง 20 ปี ระหว่างนั้นก็ระหกระเหินถูกปล่อยให้สโมสรอื่นยืมตัวบ้าง โดยเกมที่แพ้ อาร์เซนอล คาถิ่น 0-1 มือกาววัย 38 ปี ถึงกับสะกดน้ำตาลูกผู้ชายเอาไว้ไม่อยู่เมื่อสาวก “ทูน อาร์มี” พร้อมใจกับปรบมือเมื่อถึงนาทีที่ 37 ซึ่งก็เป็นหมายเลขประจำของเขา รวมถึง สติลิยัน เปตรอฟ กองกลางที่ติดทีมชาติบัลแกเรียมากกว่า 100 นัด แต่การเล่นให้ แอสตัน วิลลา ต้องหยุดชะงักเมื่อปีที่แล้วหลังถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคลูคีเมีย ซึ่งไม่นับรวมปีนี้ถือว่าเล่น พรีเมียร์ ลีก มาแค่ 6 ปี แต่ก็กลายเป็นขวัญใจของสาวก “สิงห์ผงาด” ในฐานะกัปตันทีม ซึ่งเมื่อถึงนาที 19 ก็จะได้รับเกียรติปรบมือ ปัจจุบันวัย 33 ปีจะผันตัวเองช่วยเหลือสังคมเกี่ยวกับที่ป่วยเช่นเดียวกัน

ด้านของกุนซือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือ แมนฯยู ยุติบทบาทตลอดระยะเวลา 26 ปี เอาไว้ที่ 1,500 นัด แต่อาจจะไม่สวยงามนักเมื่อถูก เวสต์ บรอมวิช ตีเสมอ 5-5 โดยทายาทก็เป็น เดวิด มอยส์ ที่ถูกดึงมาจาก เอฟเวอร์ตัน หลังจากเคยพยายามทาบทามรับบทมือขวาเมื่อปี 2002 สมัยอยู่ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งถือเป็นการจากกันด้วยดีสาวก “เอฟเวอร์โตเนียน” ไม่มีใครถือโทษโกรธเพราะ 11 ปีที่ผ่านมาก็วางรากฐานและสามารถยกระดับถิ่น กูดิสัน ปาร์ค ขึ้นมาได้อย่างน่าดูชม และนายใหญ่คนสุดท้ายก็คือ ราฟาเอล เบนิเตซ ที่หมดสัญญาชั่วคราวกับ เชลซี แต่ถึงตอนนี้แฟนบอล “สิงห์บลูส์” ต่างให้อภัยทั้งที่ตอนเข้ามารับงานใหม่ๆ ต่อต้านสารพัดเนื่องจากเคยคุมทัพ ลิเวอร์พูล และปรามาสกันไว้ สุดท้ายสามารถนำแชมป์ ยูโรปา ลีก มาประดับตู้โชว์ โดยชูป้ายให้เห็นในเกมสุดท้ายที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์