เอเยนซี - เคยเป็นถึงค่ายรถสูตรหนึ่งชั้นนำที่มีพร้อมทั้งศักยภาพและกำลังทรัพย์ ไล่บดบี้กับยอดทีมอย่าง เฟอร์รารี มาตลอด สำหรับ “แม็คลาเรน” ดีกรีแชมป์โลกประเภทนักขับ 12 สมัย และทีมผู้สร้างอีก 8 สมัย แต่หลังจากส่ง ลูอิส แฮมิลตัน ซิวบัลลังก์ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2008 ทีมฟอร์มูลา วัน สัญชาติอังกฤษกลับไม่สามารถพาตัวเองขึ้นไปหยิบความสำเร็จได้อีกเลย โดยฤดูกาลนี้ทำท่าจบมือเปล่า ซึ่งปัจจัยแห่งความล้มเหลว น่าจะมีสาเหตุดังนี้
1. ปล่อย “แฮมิลตัน” ให้ทีมอื่น
เมื่อปลายปีที่แล้ว แม็คลาเรน ปล่อยตัว ลูอิส แฮมิลตัน นักขับพรสวรรค์ที่คลุกคลีอยู่กับทีมมานาน ให้แก่ เมอร์เซเดส จีพี คู่แข่งจากเมืองเบียร์ ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ของ มาร์ติน วิทมาร์ช ทีมบอส เพราะนอกจากอดีตเด็กปั้นชาวผู้ดีจะย้ายไปรับทรัพย์ก้อนโตปีละ 20 ล้านยูโร (ประมาณ 760 ล้านบาท) ตลอดสัญญา 3 ปี ยังใช้ความสามารถเฉพาะตัวยกระดับผลงานของ “ซิลเวอร์ แอร์โรว์ส” อย่างน่าประทับใจจนเกาะอยู่อันดับ 4 ของตารางชิงแชมป์โลก แต่เมื่อเหลือบไปดูทีมเก่าของ แฮมิลตัน ผลงานสาละวันเตี้ยลง ปีนี้ยังไม่สัมผัสโพเดียมแม้แต่สนามเดียว
2. ทีมเวิร์กไม่เข้าขา
ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา คอเอฟวันมักเห็นนักขับของ แม็คลาเรน ปะทะฝีปากกันเองเสมอ ซึ่งหลังจาก วิทมาร์ช ดึง เจนสัน บัตตัน แชมป์โลกปี 2009 จาก บรอวน์ จีพี มาเป็นคู่หูใหม่ของ แฮมิลตัน กลายเป็นว่าทั้งคู่เลือกแข่งกันเองในสนามมากกว่าช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขณะที่ปีนี้ บัตตัน ได้ เซร์จิโอ เปเรซ อดีตนักขับ เซาเบอร์ มาเป็นคู่หู ทว่าการที่สตาร์วัย 33 ปี เคยออกมาให้สัมภาษณ์ดูถูกไม่เชื่อมั่นในฝีมือเหยียบคันเร่งของรุ่นน้อง ทำให้ 5 สนามที่ผ่านมากลายเป็นต่างคนต่างแข่งเหมือนเดิม จนเกาะอยู่อันดับ 10 และ 11 ของตาราง เริ่มถูกจ่าฝูงอย่าง เซบาสเตียน เวทเทล ของทีมเรด บูลล์ ฉีกแต้มหนีไปเรื่อยๆ
3.การออกแบบรถซิ่ง
อีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญคือการดีไซน์รถแข่งในแต่ละปีของ แม็คลาเรน ที่มักออกแบบตัวรถให้มีโครงสร้าง น้ำหนัก และระบบการทำงานแตกต่างจนเหมือนยกเครื่องใหม่ แทนที่จะใช้โครงรถตัวเก่าแล้วต่อเติมสิ่งที่ขาดหายลงไป แบบเดียวกับที่ เรด บูลล์, เฟอร์รารี, เรโนลต์ และ เมอร์เซเดส ทำกัน ส่งผลให้รถของ แม็คลาเรน ไม่สามารถรีดเค้นศักยภาพได้อย่างเต็มที่ แถมยังต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ๆ ที่ยากแก่การรับมือทุกปี ซึ่งปีนี้รถซีรีส์ MP4-28 เจอปัญหาระบบระบายอากาศใต้ท้องรถเล่นงาน ทำให้เครื่องยนต์ FO 108F โอเวอร์ฮีทเร็วกว่าเดิม เร่งความเร็วได้ค่อนข้างจำกัด
4.ผลงานควอลิฟายย่ำแย่
ตั้งแต่เปิดสนามแรก ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ เดือนมีนาคม ถึงสนามล่าสุด สแปนิช จีพี ยังไม่มีชื่อสองนักขับจากทีมแม็คลาเรน เกาะท็อป 3 ในรอบควอลิฟายแม้แต่รายการเดียว แน่นอนว่าสาเหตุก็ต้องกลับไปมองถึงการออกแบบรถของทีมงาน โดยเฉพาะการเพิ่มน้ำหนักตัวรถเป็น 642 กก.มากกว่าคันเก่า 2 กก.แม้ช่วยให้รถดูใหญ่แข็งแกร่งรับแรงกระแทกดีขึ้น แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเหมือนดาบสองคม ทำให้รถอืดส่งผลต่อการจัดอันดับการออกสตาร์ทโดยปริยาย
5.ตามหลังคู่แข่งทุกเรื่อง
ขณะที่แต่ละทีมเดินหน้าแก้ไขจุดอ่อนของตัวเองเพื่อวัดความเร็วกับคู่แข่ง แม็คลาเรน กลับเป็นผู้ตามอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเมื่อ เฟอร์รารี, เรด บูลล์ หรือแม้แต่ทีมงบน้อยอย่าง โลตัส-เรโนลต์ จัดการวางแผนเรื่องการเปลี่ยนยางจนสามารถลดจำนวนการเข้าพิตได้แล้ว แต่ แม็คลาเรน ยังแก้จุดนี้ไม่ได้จนต้องเข้าพิตสนามละ 4-5 ครั้ง งานนี้เห็นทีทีมงาน แม็คลาเรน ต้องเก็บข้อมูลศึกษากลยุทธ์คู่แข่งและเร่งปรับปรุงรถของตัวเองโดยด่วน เพราะหากยังเมินเฉยและปล่อยให้ทีมอื่นแซงหน้า วันหนึ่งแฟนๆ เอฟวันอาจจดจำ แม็คลาเรน ในฐานะอดีตทีมซิ่งในตำนาน หาใช่ทีมที่ควรค่าแก่การติดตามอีกต่อไป