“ปืน” รับ “เสือใต้” สู้วิกฤตไร้แชมป์

เอเยนซี - ถึงตอนนี้คงไม่มีใครเชื่อว่า อาร์เซนอล จะก้าวไปคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้ ถ้าทำไม่สำเร็จก็เป็นอันว่าจะบวกสถิติเป็นไร้แชมป์ติดมือ 8 ปีติดต่อกัน ซึ่งเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก ที่จะเปิดรัง เอมิเรตส์ สเตเดียม รับมือ บาเยิร์น มิวนิค แชมป์ยุโรป 4 สมัยจากเยอรมนีวันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ จึงถูกเบียดด้วยประเด็นความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องว่าวิกฤตเช่นนี้ทำไม อาร์แซน เวนเกอร์ ถึงยังได้รับโอกาสให้กุมบังเหียนต่อไปจนเข้าสู่ปีที่ 17 แล้ว

อาร์เซนอล เพิ่งทำช็อกตกรอบ 5 เอฟเอ คัพ เมื่อถูก แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส บุกมาสอย 0-1 เมื่อวันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะที่เวที พรีเมียร์ ลีก รั้งอันดับ 5 ตามหลัง ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ 4 แต้มกับอีก 12 นัดที่เหลือต้องลุ้นเพื่อการันตีโควตา แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า ดังนั้นเป้าหมายเดียวที่เหลืออยู่คือกำจัด บาเยิร์น ให้พ้นทางและซ้ำรอยปี 2005-06 ที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศให้ได้ เมื่อนั้นแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้บอลนัดเดียว แม้ว่าหนนั้นจะแพ้ให้กับ บาร์เซโลนา ก็ตาม

แม้ว่าผลงานจะทรงตัวย่ำแย่ต่อเนื่อง แต่ก่อนเกมมีข่าวว่าบอร์ด อาร์เซนอล ประทับใจการบริหารงานของ เวนเกอร์ โดยเฉพาะผลประกอบการที่ขานรับกับ กฎควบคุมการเงิน ของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟา) และกฎการขาดทุนกับค่าเหนื่อยของ พรีเมียร์ ลีก ที่กำลังจะตบเท้าตามออกมา ทำให้กุนซือชาวฝรั่งเศสกำลังจะได้รับสัญญาฉบับใหม่แทนที่ของเดิมที่จะสิ้นสุดลงปี 2014 คาดว่าจะมีการสะบัดน้ำหมึกก่อนปิดฤดูกาลนี้และจะรับค่าเหนื่อย 7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 329 ล้านบาท) ต่อปี ซึ่งจะถือว่าเป็นหนึ่งในกุนซือที่กระเป๋าตุงที่สุดในโลกคนหนึ่ง

ไม่มีใครสงสัยในฝีมือการเพิ่มตัวเลขกำไรให้กับ อาร์เซนอล ทั้งการซื้อนักเตะมาปลุกปั้นและขายออกไป รวมถึงควบคุมค่าเหนื่อยไม่ให้ทะลุเพดาน แต่ระยะหลังแนวทางนี้เริ่มล้าสมัยและผู้เล่นที่ซื้อเข้ามาชักไม่เข้าตา ขณะที่การวางหมากแต่ละเกมของ เวนเกอร์ ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่รวมถึงแท็กติกในการแก้เกม หากบอร์ดบริหารยังไว้ใจให้ทำหน้าที่ต่อไปก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

ขณะที่นักเตะเองก็มีหน้าที่ต้องสู้ต่อไป ก่อนเกม แจ็ค วิลเชียร์ กองกลางเบอร์ 10 ที่ เวนเกอร์ วางไว้ให้เป็นจอมทัพถึงขนาดสวมปลอกแขนกัปตันทีมในอนาคต ออกมากระตุ้นเพื่อนร่วมทีมโดยหวังว่าจะตามรอย เชลซี ที่คว้าแชมป์ยุโรปเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กระท่อนกระแท่นมาโดยตลอดภายใต้การคุมทัพของ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ที่ตอนนี้โดนเด้งไปแล้ว

กองกลางทีมชาติอังกฤษกล่าวว่า “เชลซี คือแรงบันดาลใจ พวกเขาไม่ได้มีฤดูกาลที่ดีเลย แต่ว่าก็มีโชคในบางเกม แสดงบุคลิกที่ยอดเยี่ยมให้เห็นและเราจะทำแบบนั้นบ้าง โดยจะต้องกลับมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้ได้ อาร์เซนอล มีผู้นำที่ดี บรรยากาศทีมยอดเยี่ยม สิ่งนี้จะช่วยได้เยอะ ในห้องแต่งตัวเรามองเห็นกลุ่มนักเตะดาวรุ่ง รวมถึงแข้งที่กระหายชัยชนะอย่าง ลูคัส โพดอลสกี และ มิเกล อาร์เตตา เรารู้ดีว่า บาเยิร์น แกร่งขนาดไหน ดังนั้นตอนนี้ทุกคนต้องหนุนหลังให้ทีมก้าวไปอีกครั้ง เราเคยเอาชนะยักษ์ใหญ่ของยุโรปที่นี่มาแล้วและต้องทำให้ได้อีกครั้ง”

ขณะที่ บาเยิร์น ถือว่ามาเยือนด้วยความมั่นใจเกินร้อยไม่มีอะไรต้องกังวลเพิ่งบุกชนะ โวล์ฟสบวร์ก 2-0 เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจนทิ้ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 15 แต้มหลังผ่านไป 22 นัด ถือเป็นฟอร์มยอดเยี่ยมยามออกไปเยือนของ “เสือใต้” ฤดูกาลนี้โดยชนะ 10 เสมอ 1 นัดยังไม่แพ้ใครดีกว่าเล่นในรัง อัลลิอันซ์ อารีนา เสียอีก แถมตัวผู้เล่นยังมีให้เลือกใช้แบบล้นมือโดยเฉพาะแนวรุกทั้ง มาริโอ มานด์ซูคิช, ฟรองค์ ริเบรี, อาร์เยน ร็อบเบน, โทนี โครส, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, มาริโอ โกเมซ และ เซอร์ดาน ชากิรี

ปีนี้ บาเยิร์น ภายใต้การคุมทัพของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส น่าจะทวงถาดแชมป์ บุนเดสลีกา คืนมา หลังปล่อยให้ ดอร์ทมุนด์ คว้าไปนอนกอด 2 ปีติดต่อกัน ถือว่าผลงานแม้ไม่ดีแต่ก็ไม่ย่ำแย่เท่ากับ อาร์เซนอล โดย “เสือใต้” เข้าชิง 2 ใน 3 ปีหลังสุด แต่มีอันต้องอกหักครั้งสุดท้ายที่ได้แชมป์ต้องย้อนไปปี 2001

ถือเป็นงานหนักของ อาร์เซนอล อย่างแท้จริง แม้ว่าจะได้เล่นในบ้าน แต่ บาเยิร์น เมื่อเข้าสู่ปฎิทินปี 2013 ยังไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว โดยที่ผ่านมาทั้งคู่เจอกันนับเฉพาะน็อกเอาท์ฤดูกาล 2004-05 คือรอบ 16 ทีมสุดท้าย “เสือใต้” ชนะในบ้าน 3-1 ก่อนบุกพ่าย 0-1 ตบเท้าสู่ด่านต่อไป แต่ “ปืนโต” ก็มีสถิติเจอกับทีมจาก บุนเดสลีกา ที่น่าประทับใจ12 ครั้งชนะ 9 เสมอ 1 แพ้แค่ 2 ครั้ง