ASTV ผู้จัดการรายวัน - ขณะที่ศึกฟุตบอล ไทยพรีเมียร์ลีก 2013 ใกล้จะระเบิดขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เหล่าสโมสรยักษ์ใหญ่ 4 อันดับแรกจากฤดูกาลที่แล้ว เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ชลบุรี เอฟซี และ บีอีซี เทโรศาสน เตรียมเสริมทัพเต็มกำลัง แม้จะมีแนวทางการทำทีมที่ต่างกัน แต่ทุกสโมสรล้วนแล้วมีเป้าหมายเดียวกันคือ แชมเปียนส์
กิเลนอิมพอร์ต : แชมป์เก่า เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หวังเก็บ โทรฟี ไว้ในถิ่นเอสซีจี สเตเดียม เป็นสมัยที่ 4 แต่ขุมกำลังเดิมที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการกรำศึกหนักทั้งซีซัน ที่มี เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก เพิ่มเข้ามา จึงระดมเสริมทัพอย่างต่อเนื่องโดยเน้นไปที่แข้งต่างชาติเป็นหลัก นำโดย โรแลนด์ ลินซ์ ดาวยิงดีกรีทีมชาติออสเตรีย ชุดฟุตบอล ยูโร 2008 พร้อมด้วย มาเต็จ รัปนิค ปราการหลังดาวรุ่งชาวสโลวีเนีย, ปัค นัม โชล มิดฟิลด์เกาหลีเหนือ, คิม ยู จิน กองหลังเกาหลีใต้ และ จูเนียร์ กีมาโร “จูนินโญ” ห้องเครื่องชาวบราซิล ของ บีบีซียู เอฟซี เมื่อบวกกับที่มีอยู่เดิมอย่าง เปาโล เรนเจล, มาริโอ ยูรอฟสกี, ดานโญ เซียกา, อัตนัน บาราคัต, โคเน โมฮัมเหม็ด และ รี ควาง ชอน ทำให้ “กิเลนผยอง” มีแข้งต่างชาติในทีมรวมแล้ว 11 ราย ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับ “ย็อคกา” สลาวิซา โยคาโนวิช กุนซือชาวเซิร์บ ว่าจะผสมผสานกันได้กลมกล่อมขนาดไหน หรือจะบรรจุใครเข้าโควตารายการใด
รณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้อำนวยการสโมสร กล่าวว่า “ปีนี้ทีมต้องเล่นในถ้วยเอเชียจึงต้องเพิ่มขนาดทีมให้มากขึ้น ผู้เล่นต่างชาติอาจดูเยอะเมื่อรวมกับผู้เล่นเก่า เนื่องจากเราต้องการผู้เล่นที่มีคุณภาพมากที่สุดเพื่อใช้งานในทุกรายการ”
ลูกครึ่งเซราะกราว : บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้บทเรียนราคาแพงจากการเสริมตัวผู้เล่นผิดพลาดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซีซันนี้ “เซราะกราว” สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการต้อนแข้งลูกครึ่งเชื้อสายไทยจากทุกมุมโลกมาร่วมทีม ซึ่งทุกคนล้วนพกดีกรีที่ไม่ธรรมดาติดตัวมา ไม่ว่าจะเป็น ชาริล ชัปปุยส์ มิดฟิลด์ลูกครึ่งไทย-สวิตเซอร์แลนด์ จากทีมกลาสฮอปเปอร์ ซูริค ที่เคยพาทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกยู-17 ครั้งล่าสุดปี 2009 ที่ประเทศไนจีเรีย รวมถึง เดนนิส บุสเชนนิง ตัวรุกไทย-เยอรมัน อดีตเด็กฝึกของ อาร์มีเนีย บีเลเฟลด์ และ โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ ในบุนเดสลีกา และ ชิตชนก ไชยเสนสุรินธร ดาวยิงเชื้อสายไทย-ลาว ที่เคยเป็นนักเตะเยาวชนสโมสรซามพ์โดเรีย ในอิตาลี และเมื่อรวมกับ แอนโธนี อำไพพิทักษ์วงศ์ ที่ย้ายมาปีที่แล้ว เบ็ดเสร็จรวม 4 ราย ซึ่งทั้งหมดสามารถลงเล่นในโควตานักเตะไทย บวกกับประสบการณ์จากต่างแดน และรูปร่างที่สูงใหญ่เชื่อว่าจะเป็นอาวุธหนักในการล่าทุกแชมป์สู่แดนอีสานใต้แน่นอน
เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร เผยว่า “เรามีประสบการณ์จากฤดูกาลที่แล้วในถ้วยเอเชีย ทำให้พบว่าต้องเร่งพัฒนาผู้เล่นไทยมากกว่าต่างชาติ จึงได้สร้างความหลากหลายด้วยการดึงแข้งลูกครึ่งเพื่อยกระดับทีมให้สูงขึ้น เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีข้อได้เปรียบในเรื่องประสบการณ์ วินัย และมีมาตรฐานเดียวกับแข้งต่างชาติระดับต้นๆ ในไทยลีก แต่เป็นผู้เล่นไทย”
ทีมเวิร์กฉลามชล : ชลบุรี เอฟซี ยังคงแน่วแน่ในคอนเซ็ปต์การทำทีมสไตล์ของตนเอง เน้นทีมเวิร์ก และระบบการเล่นเป็นหลักมากกว่าสตาร์ดัง ผู้เล่นตัวหลักยังคงเป็นชุดเดิม พิภพ อ่อนโม้ และ เทิดศักดิ์ ใจมั่น เป็นคีย์แมนในเกมรุก บวกกับ 2 แข้งนอกที่เสริมเข้ามาคอยสแตนด์บายอย่าง อิรฟาน บัชดิม จอมทัพทีมชาติอินโดนีเซีย และ อีวาน บอสโควิช ศูนย์หน้า ชาวมอนเตเนโกร แม้ว่าฤดูกาลนี้จะเสีย สุรีย์ สุขะ แบ็กขวาตัวเก่ง แต่กลับไม่หวั่นว่าจะเป็นรอยโหว่นี้ พร้อมเปิดโอกาสให้ นพนนท์ คชพลายุกต์ กับ พุทธินันท์ วรรณศรี ลูกหม้อของทีมได้แสดงความสามารถ ซึ่งปีนี้ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญว่าแข้งที่เล่นร่วมกันมานาน รวมถึงการกลับมาของ เกียรติประวุฒิ สายแวว, ศราวุฒิ จันทพันธ์ และ อนุชา กิจพงษ์ศรี จะสามารถพา “ฉลามชล” เถลิงความสำเร็จได้หรือไม่ หลังรองแชมป์เก่าไม่ต้องพะวงในบอลถ้วยเอเชีย มีเพียงโฟกัสเดียวที่ต้องการคือแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก
วิทยา เลาหกุล ประธานฝ่ายเทคนิคของทีม กล่าวว่า “ชลบุรี ยังคงเน้นทีมเวิร์กมากกว่าความสามารถส่วนบุคคล เพราะสไตล์การเล่นของนักเตะหรือผู้เล่นต่างชาติที่ย้ายเข้ามาไม่สามารถทำผลงานได้ดีตลอดทุกนัด แต่ทีมเวิร์คที่ดีสามารถสร้างมาตรฐานของทีมให้ออกมาดีได้ตลอด”
แข้งคะนองมังกรไฟ : บีอีซี เทโรศาสน วางรากฐานตั้งแต่ซีซันก่อนด้วยการเปิดโอกาสให้แข้งดาวรุ่งของทีมอายุระหว่าง 18-20 ปี ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ชนาธิป สรงกระสินธ์, นฤบดินทร์ วีรวัฒน์โนดม, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา รวมถึง อัครพล มีสวัสดิ์ ซึ่งการผ่านร้อนผ่านหนาวตลอดขวบปีที่ผ่านมา รวมถึงการก้าวขึ้นสู่ทีมชาติ ทำให้พวกเขาสั่งสมประสบการณ์พร้อมที่จะระเบิดออกมา เมื่อบวกกับผู้เล่นตัวเก๋าอย่าง รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค, เคลย์ตัน ซิลวา และ ศรายุทธ ชัยคำดี ทำให้ “มังกรไฟ” แข็งแกร่งพอที่จะเป็นตัวเต็งในการแย่งแชมป์แน่นอน
ธัญญะ วงศ์นาค ผู้จัดการทีม เผยว่า “บีอีซี เทโรฯ วางแนวทางการทำทีมตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว โดยเน้นการพัฒนาดาวรุ่งเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้หลายคนจากปีก่อนพร้อมแล้วที่จะเป็นกำลังหลักให้กับทีม และเรายังมีเด็กอีกหลายคนจากทีมเยาวชนที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาอีกเช่นกัน ซึ่งปีนี้เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเป้าหมายของเราคือตำแหน่งแชมป์”
ถึงเวลานี้แฟนลูกหนังของเหล่าบรรดาทีม “บิ๊ก 4 ไทยลีก” คงต้องมาคอยติดตามผลงานทีมรักว่าการรักษาแนวทางการทำทีมของแต่ละสโมสรจะส่งผลสำเร็จมากน้อยแค่ไหน เมื่อถึงเวลาเปิดสนามแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีก 2013 เริ่มเปิดฉาก