ASTVผู้จัดการรายวัน-เอสซีจี เมืองทองฯ ยูไนเต็ด เข้าป้ายคว้าแชมป์ “สปอนเซอร์ ไทย พรีเมียร์ ลีก 2012” หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2555 เปิดรังเอาชนะ ชัยนาท เอฟซี 1-0 ทิ้งอันดับ 2 ชลบุรี เอฟซี ที่แข่งน้อยกว่า 1 นัด 14 แต้มไม่มีทางไล่ทันแน่นอนแล้ว ทั้งที่ก่อนเปิดฤดูกาลใครจะคิดว่าทีมที่มาหยุดความร้อนแรงของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเป็นขุนพล “กิเลนผยอง” แน่นอนว่าจะต้องมีปัจจัยเกื้อหนุนให้สามารถกระแชมป์มาครองได้เป็นสมัยที่ 3 รอบ 4 ปี MGR SPORT ประมวลภาพรวมมานำเสนอดังนี้
1. กระหายแชมป์ : หลังจากที่อดีตแชมป์ ไทยลีก ปี 2009-2010 ต้องเสียตำแหน่งให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คู่ปรับทั้งในและนอกสนามฤดูกาลก่อน รวมถึงปราชัยต่อยอดทีมอีสานใต้ ในนัดชิงฯศึกมูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ ชวดสิทธิ์ไปแข่งถ้วยเอเชีย ทำให้จบปีไม่มีถ้วยรางวัลติดมือ ซีซันนี้ เอสซีจี เมืองทองฯ จึงประกาศความมั่นใจด้วยคอนเซ็ปต์ “รีเทิร์น ออฟ แชมเปียนส์” นักตะทุกคนจึงมีความมุ่งมั่นกระหายที่จะเอาชนะกอปรกับไม่ต้องเดินทางไปเล่นนอกประเทศในถ้วยเอเชีย จึงทำให้ทีมมีสมาธิและสภาพร่างกายที่สดพร้อมในเกมลีกเหนือทีมหัวแถวด้วยกันเอง
2. สลาวิซา โยคาโนวิช : การเข้ามาของอดีตกุนซือ ปาร์ติซาน เบลเกรด ยอดทีมจากประเทศเซอร์เบีย เมื่อต้นฤดูกาล มีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าจะสามารถทำให้ “กิเลนผยอง” มีศักยภาพเพียงพอที่จะกระชากแชมป์กลับสู่ถิ่น เอสซีจี สเตเดียม ได้หรือไม่ แต่อดีตแข้ง เชลซี ก็เปิดหัวได้อย่างน่าประทับใจ 5 นัดแรก ถลุงไป 15 ประตู ด้วยเกมรุกที่ดุดันและเกมรับอย่างมีระบบ รวมถึงการแก้เกมที่เฉียบขาด จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแชมป์ไทยลีกปีนี้จึงทำได้ถึง 66 และเสียเพียง 27 ลูกเท่านั้น พร้อมกับยิงประตูได้ทุกเกมที่ลงสนาม และที่สำคัญยังสะกดคำว่า “แพ้” ไม่เป็น
3. ขุมกำลังหลัก : ถือเป็นความโชคดีที่สุดของ “กิเลนผยอง” ในฤดูกาลนี้เมื่อนักเตะตัวหลักไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บมารบกวน ธีรศิลป์ แดงดา ดาวยิงเบอร์ 1 สามารถลงเล่นตั้งแต่ต้นจนจบซีซัน หลังจากที่หลายปีหลังมานี้ “มุ้ย” ต้องกรำศึกหนักทั้งทีมชาติและช่วยต้นสังกัดเดินทางไปแข่งถ้วยเอเชียจนกรอบและเจ็บเพียงแค่ไม่พ้นครึ่งฤดูกาล รวมถึงรายอื่นอย่าง กวิน ธรรมสัจจานันท์, ภานุพงษ์ วงษ์ศา, ดานโญ เซียกา, ดัสกร ทองเหลา, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว ที่ฟิตลงสนามแทบทุกสัปดาห์ ส่งผลให้ 11 ตัวจริงแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนแปลง
4. กำลังเสริม : ปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับเกมลีกทั่วโลกคือการยืนระยะ อดีตแชมป์เก่าปี 2009-2010 แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีทีมที่ใหญ่พอที่จะเล่นได้ตลอดทั้งซีซัน นอกจาก 11 แข้งตัวจริงแล้ว ขุมกำลังทดแทนในทีมมีความสามารถมากพอที่จะลงมาพลิกเกม เอกภูมิ โพธารุ่งโรจน์ และ จักรพันธ์ พรใส เป็นทีเด็ดยามทีมต้องการเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว แผงหลังมี อาทิตย์ ดาวสว่าง และ วีระวุฒิ กาเหย็ม คอยสแตนบาย เลกสองยังได้ เปาโล เรนเจล ดาวยิงชาวบราซิเลียน มาผนึกกำลังช่วย ธีรศิลป์ ในการเจาะเข้าทำประตูอีกราย
5. มาริโอ ยูรอฟสกี : ตัดหน้า แวร์เดอร์ เบรเมน ทีมดังในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน และอีกหลายทีมใน เจลีก และไชนา ลีก คว้าแข้งดีกรีทีมชาติมาซิโดเนีย จากสโมสร เมตาเลอร์ โดเนทส์ค ในลีกสูงสุดยูเครน มาร่วมทัพ เพียงแค่ปีแรก ยูรอฟสกี ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วก้าวขึ้นเป็นกำลังหลักของทีม พร้อมเป็นที่ยอมรับของทุกสโมสรในลีกว่านี่คือของจริงไม่ย้อมแมว จากชั้นเชิงการเล่นที่แพรวพราว ลูกจ่ายที่เฉียบคม เหมาทั้งเตะมุมและฟรีคิก ทำให้แข้งอีซ้ายรายนี้ซัลโวไปแล้ว 14 ประตู จ่ายทำทางอีกนับไม่ถ้วน จึงไม่แปลกใจเลยที่ต้นสังกัดตัดสินใจขยายสัญญาเพลย์เมกเกอร์รายนี้ออกไปเป็นที่เรียบร้อยอีก 3 ปี โดยจะอยู่กับทีมไปอีกอย่างน้อยถึงปี 2016
6. เก็บแต้มสำคัญ : แม้ขุนพล “กิเลนผยอง” จะสามารถกำชัยจากทีมอันดับกลางและล่างของตารางได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยามเล่นในถิ่น เอสซีจี สเตเดียม แทบจะการันตี 3 แต้ม เสมอแค่ 2 เกมเท่านั้น แต่อีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันคือการที่ทีมไม่พลาดท่าให้กับคู่แข่งแย่งแชมป์อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ ชลบุรี เอฟซี โดยสามารถยันเสมอ “ปราสาทสายฟ้า” ได้ด้วยสกอร์ 1-1 ทั้งสองนัด แม้รูปเกมโดยรวมจะโดนบุกกระหน่ำอย่างหนักตลอดทั้งเกม แต่ก็ยังเก็บ 1 แต้มสำคัญไว้ได้ ส่วน “ฉลามชล” นั้น ลูกทีมของ “ย็อคกา” พิชิตมาได้ก่อน 2-0 ในรังของตนเอง ก่อนที่จะบุกไปยันเจ๊า 2-2 ถึงถิ่น ชลบุรี สเตเดียม ถือเป็น 6 แต้มสำคัญเลยทีเดียว
7.งบ 600 ล้านจาก เอสซีจี : นอกจากผลงานในสนามแล้ว อีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันสำหรับการเถลิงบัลลังก์แชมป์ในครั้งนี้คืองบสนับสนุนก้อนโตกว่า 600 ล้านบาทตลอดระยะเวลา 5 ปี ของ เอสซีจี ซีเมนต์ บริษัทยักษ์ใหญ่วงการวัสดุก่อสร้าง ทำให้เมืองทองฯ มีเม็ดเงินมากพอที่จะดึงนักเตะชั้นนำพร้อมขุมกำลังทดแทนที่แข็งแกร่งเข้าสู่ทีม
จากนี้เป้าหมายของ เอสซีจี เมืองทองฯ ยูไนเต็ด ก็คือการสร้างสถิติคว้าแชมป์แบบไร้พ่ายกับอีก 3 นัดที่เหลือคือพบกับ การท่าเรือไทย บีบีซียู, การท่าเรือไทย เอฟซี และ บีอีซี เทโรศาสน ก็ต้องติดตามดูว่าการเถลิงบัลลังก์ครั้งนี้จะสมบูรณ์แบบแค่ไหน ก่อนที่จะต้องเตรียมตัวให้หนักกว่าเดิมช่วงปิดฤดูกาลเพื่อลงเล่นถ้วย เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ต่อไป