เอเยนซี-สื่อฝั่งตะวันตกที่ต่างรุมตั้งข้อสังเกตเรื่องโด๊ป หลัง เย่ ชีเวิน นักว่ายน้ำสาวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนวัยเพียงแค่ 16 ปีคว้าเหรียญทอง "ลอนดอน เกมส์ 2012" จากประเภทเดี่ยวผสม 400 เมตรหญิง มีอันต้องเปลี่ยนความคิด เพราะเธอกลบกระแสด้วยการเบิ้ลเหรียญรางวัลจากประเภทเดี่ยวผสม 200 เมตรหญิง ตามด้วยมีเงือกสาวจากแดนมังกรผุดขึ้นมาประกาศศักดาบนโพเดียมที่ประเทศอังกฤษอีกรายคือ เจียว หลู่หยาง จากประเภทผีเสื้อ 200 เมตรหญิง โดยกลับตั้งประเด็นเรื่องใหม่ที่ว่าใครก็สามารถเก่งได้? แต่มาจากการซ้อมอย่างหนักหรือการถูกทรมานกันแน่
สาวเย่ ทำเอาผู้สื่อข่าวต่างประเทศ "อึ้งกิมกี่" หลังวิเคราะห์สถิติเฉพาะ 50 เมตรจากเหรียญทองเดี่ยวผสม 400 เมตรหญิงที่เธอความาคล้องคอปรากฎว่าตัวเลขอยู่ที่ 28.93 วินาทีดีกว่า ไรอัน ลอชตี นักว่ายน้ำหนุ่มชาวอเมริกันวัย 27 ปีที่ทำได้ 29.10 วินาที โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐฯ ที่เสียหน้าอย่างรุนแรงจึงเปรียบเทียบข้อมูลไม่ว่าจะเป็นความสูง 172 เซนติเมตรกับ 188 เซนติเมตรจึงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะพ่ายแพ้ จอห์น เลียวนาร์ด โค้ชมะกันจึงเป็นคนแรกที่ออกจุดประเด็นเรื่องโด๊ป
ร้อนถึง เดนิส ค็อตเทเรลล์ อดีตโค้ช แกรนท์ แฮ็คเก็ตต์ นักว่ายน้ำชาวออสเตรเลียเจ้าของ 3 เหรียญทอง โอลิมปิก ที่ ซิดนีย์ และ เอเธนส์ เป็นคนฝึกซ้อม เย่ และนักว่ายน้ำจีนคนอื่นๆ ต้องออกมาปกป้อง "เธอบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซนต์ คุณจำต้องไปดูการพัฒนานักกีฬาที่ ปักกิ่ง โดยเฉพาะการผสมผสานการทำงานเข้ากับหลักการของพวกเขาเอง ผลงานอันยอดเยี่ยมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าทำให้หลายคนประหลาดใจ ซึ่งเราก็ยอมรับตรงจุดนี้ แต่บางเหตุผลจากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ เพราะว่าประวัติการเรื่องโด๊ปของจีน ซึ่ง เอียน ธอร์ป และ ไมเคิล เฟลป์ส ต่างไม่มีใครตั้งคำถาม แท้ที่จริงแล้วการทำงานกับผู้หญิงถือว่าหนักกว่ามาก"
อย่างไรก็ตาม จีน ได้วางรากฐานการก้าวไปเป็นเจ้ากีฬา โอลิมปิก มานานแล้วเห็นได้จาก เจียว หลู่หยาง เมื่อ 4 ปีก่อนที่ ปักกิ่ง เธอคว้าเหรียญเงินด้วยวัย 16 ปีก่อนจะพัฒนากลับมาหนนี้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดบนโพเดียมได้สำเร็จ โดยสื่ออย่าง "เดลี เมล" ของอังกฤษได้เปิดเผยภาพพร้อมข้อมูลการซ้อมที่ค่ายสุดหิน หนานหนิง เส้นทางกว่าที่นักกีฬาอาหมาย-อาตี๋ทั้งหลายจะก้าวมาถึงจุดนี้ โดยพาดหัวว่า "Torture or training?" (ทรมานหรือซ้อมกันแน่)
ภาพที่ปรากฎออกสู่สายตาสื่อความหมายได้ดีกว่าการบรรยายด้วยคำพูด โดยเฉพาะใบหน้าอาบน้ำตาของเด็กสาวที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดกำลังฝึกซ้อมเพื่อก้าวไปสู่เกียรติยศเวที โอลิมปิก ขณะที่เท้าของผู้ฝึกสอนเหยียบอยู่บนขาของเธอ ทั้งที่ดูจากชุดแนบเนื้อสีแดงลายตัวการ์ตูนมนุษย์อวกาศก็น่าจะบอกอายุได้เป็นอย่างดี รวมถึงภาพเด็กผู้ชายอายุไม่น่าเกิน 5 หรือ 6 ปีห้อยโหนอยู่บนบาเรียงรายนับ 10 คน ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า 1 หรือ 2 คนที่เหลือรอดอาจจะก้าวไปสู่การคว้าเหรียญรางวัลจากกีฬายิมนาสติกหรือไม่ก็ว่ายน้ำในอนาคต
หนานหนิง ยิมนาสติก ใน หนานหนิง คือหนึ่งในสนามฝึกซ้อมสุดหินทั่วประเทศที่จะอบรมเด็กจีนให้เรียนรู้เพื่อที่จะก้าวไปเป็นแชมป์ แน่นอนว่าเทคนิคต่างๆ ที่ถูกถ่ายทอดผ่านภาพออกไปสู่สายตาคนตะวันตกอาจจะดูรุนแรง แต่ก็เหมือนเป็นการบ่งบอกว่ากว่าจะก้าวมาถึงการคว้าเหรียญรางวัลที่ ลอนดอน ต้องผ่านอะไรบ้างได้เป็นอย่างดี โดยทั้ง ยิมนาสติก และ ว่ายน้ำ เป็นกีฬาที่รู้กันดีว่าต้องเริ่มต้นตั้งแต่อายุน้อยๆ ทุกคนมีเป้าหมายเหมือนกันคือก้าวไปเป็นเหมือนรุ่นพี่อย่าง เย่ ชีเวิน ประชากรของจีนก็ถือว่ามากที่สุดในโลกการจะหางานไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกคนจึงมีเส้นทางที่จำต้องแข่งขันเพื่อก้าวไประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งครอบครัวก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่เพราะวงการกีฬาสามารถสร้างทั้งชื่อเสียงเกียรติยศเงินทองไหลมาเทมา ทุกคนจะถูกส่งเข้าสถาบันฝึกสอนตั้งแต่เด็กฝึกฝนร่วมกันเป็นพันๆ คนแล้วค่อยดูว่าใครมีแววโดดเด่นขึ้นมา ต่างจากยุโรปที่จะเฟ้นหาผู้เล่นจากระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัยที่หน่วยก้านดี
สำหรับภาพที่โหดร้ายเช่นนี้ย่อมทำให้เด็กหลายคนรู้สึกท้อแท้และต้องกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งว่ามาที่นี่เพื่ออะไร ซึ่งบนผนังก็จะมีป้ายผ้าขนาดใหญ่คอยเตือนใจให้เดินหน้าต่อไปเพื่อเป้าหมายเดียวคือเหรียญทองและโค่นแชมป์อย่างสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อไปถึงจุดนั้นได้รัฐบาลก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่โดยเฉพาะเรื่องเงินอัดฉีกในความสำเร็จ
ถือว่า สหรัฐฯ กำลังถูกท้าทายจาก จีน เพราะตั้งแต่เป็นเจ้าภาพที่ แอตแลนตา เมื่อปี 1996 ก็ครองเจ้าเหรียญทองเรื่อยมา แต่จะสังเกตได้ว่าทัพจากแดนมังกรก็สามารถเพิ่มจำนวนเหรียญได้มากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่ง ปักกิ่ง เมื่อ 4 ปีก่อนก็ทิ้งแบบไม่เห็นฝุ่นคว้าอันดับ 1 ของกีฬา "ห้าห่วง" ได้สำเร็จ มาถึงหนนี้กำลังจะผ่านครึ่งทางก็ยังคงนำอยู่และมีโอกาสสูงมากที่จะป้องกันแชมป์ ก็ต้องจับตาดูว่าวันสุดท้ายของ โอลิมปิก ลอนดอน เกมส์ ตารางเหรียญที่ไม่เคยโกหกใครจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่และเหมือนเป็นเครื่องเตือนให้ชนชาวอเมริกันต้องกลับไปทบทวนและถีบตัวเองขึ้นมาใหม่