ASTVผู้จัดการรายวัน - “ลอนดอน เกมส์ 2012” ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งกำลังจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ จะถือว่าเป็นการลงสนามบนเวที โอลิมปิก ครั้งสุดท้ายของ 3 นักแบดมินตันไทย ทั้ง บุญศักดิ์ พลสนะ, สุดเขต ประภากมล และ เรืออากาศเอกหญิง สราลีย์ ทุ่งทองคำ ก็ว่าได้ เพราะแต่ละคนอยู่ในช่วงปลายของอาชีพอายุอานามเลข 3 นำหน้าแล้วทั้งสิ้น จึงน่าจะเป็นการเดิมพันกับการลุ้นคว้าเหรียญมหกรรมกีฬา “ห้าห่วง” ครั้งสุดท้าย เพราะหากพลาดหวังก็จะไม่มีโอกาสใดๆ ให้แก้ตัวอีกแล้ว
เริ่มด้วยพี่ใหญ่ “แมน” บุญศักดิ์ ด้วยวัย 30 ปี ถือว่าประสบการณ์โชกโชนเคยผ่านเวที โอลิมปิก ถึง 3 ครั้งที่ ซิดนีย์ 2000, เอเธนส์ 2004 และ ปักกิ่ง 2008 โดยเมื่อ 8 ปีก่อนใกล้เคียงกับการคว้าเหรียญมากที่สุดเมื่อเข้าถึงรอบรองชนะเลิศก่อนจะแพ้ โซนี คุนโคโร จากอินโดนีเซีย ในการชิงเหรียญทองแดง
บุญศักดิ์ มือ 22 ของโลกกล่าวถึงการเดิมพันครั้งสุดท้าย ว่า “ลี ชอง เหว่ย และ หลินตัน ถือว่าเป็นนักกีฬาที่เหนือกว่าหลายคนมาก ไม่ว่าจะเป็น พละกำลัง และความเร็ว แต่รายแรกมีอาการบาดเจ็บรบกวน ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นจุดอ่อนให้เราโจมตีก็เป็นได้ ในขณะที่อีกคนอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มอีกครั้ง ทำให้เพิ่มความมั่นใจมากขึ้น แต่ก็มีความกดดันเข้ามาแทนที่เพราะมาในฐานะแชมป์เก่า แต่ที่เราจะมองข้ามไม่ได้เลยคือนักแบดมินตันจากยุโรปอย่างเดนมาร์ก ซึ่งมี ปีเตอร์ เกด ที่มีเทคนิค ทักษะที่ดีเยี่ยม รวมถึงชาติเจ้าภาพที่ได้รับเสียงเชียร์อย่างแน่นอน ส่วนโอลิมปิกครั้งนี้ ก็จะเป็นครั้งสุดท้าย ตนก็อยากทำผลงานทิ้งทวนให้ดีที่สุด ส่วนแผนการณ์ที่จะเลิกเล่นนั้น ต้องรอให้ถึงการแข่งขัน ช่วงปลายปีนี้ จึงค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
ส่วน สุดเขต และ สราลีย์ คู่ผสมมือ 6 ของโลก กับประสบการณ์ โอลิมปิก 2 สมัยโดยผลงานดีที่สุด คือ เมื่อ 4 ปีก่อนเข้าถึงรอบ 8 คู่สุดท้าย ด้วยวัย 32 และ 33 ปีตามลำดับจึงถือเป็นการแก้มือครั้งสุดท้ายของทั้งคู่ โดย “เต่า” สุดเขต กล่าวว่า “สำหรับเราแล้วการได้เจอกับคู่ผสมจากจีน อินโดนีเซีย รวมถึง เกาหลีใต้ ต่างก็มีประสบการณ์ในการพบกันมาหลังครั้งแล้วก็ไม่ค่อยกังวลในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่จะหนักใจคือคู่จากอินโดนีเซีย โทนโทวี อาห์หมัด กับ ลิเลียนา นัตเซอร์ ที่เป็นขวากหนามในการพบกันเมื่อการแข่งขันที่มีความสำคัญมากๆ แต่เราก็ชนะในรายการรองเสมอ เพราะเขามีความเหนียวแน่น เมื่อเปิดเกมรุกใส่อย่างเต็มที่เชื่อว่าจะไม่ทำให้คนไทยผิดหวัง และที่สำคัญ รอบแบ่งกลุ่มเราสามารถแพ้ได้ครั้งเดียว เพราะเอาสองคู่ผ่านเข้ารอบ 8 คู่สุดท้ายอยู่แล้ว”
ขณะที่เหลืออีก 3 คนถือว่าใหม่มากสำหรับเวทีระดับนี้ เพราะเป็นการลุย โอลิมปิก ครั้งแรกโดยเฉพาะ รัชนก อินทนนท์ ในประเภทหญิงเดี่ยวด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีแต่ได้รับการยกย่องให้เป็น “สาวน้อยมหัศจรรย์” ด้วยผลงานแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยซ้อนไล่ตั้งแต่ปี 2009 ที่ถือว่าเป็นแชมป์ บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ จูเนียร์ แชมเปียนชิปส์ อายุน้อยที่สุด จึงถือเป็นความหวังที่จะมาสร้างเซอร์ไพรส์ให้ทัพนักตบลูกขนไก่ไทยก็ว่าได้
“น้องเมย์” รัชนก มือ 10 ของโลก กล่าวว่า “คู่แข่งในประเภทหญิงเดี่ยวนี้คงหนีไม่พ้น วัง อิฮาน, วัง ซิน สองสาวจากจีน ตามมาด้วย ซุง จี ฮุน ตบสาวจากเกาหลีใต้ ที่มีจุดเด่นเรื่องความแข็งแรง และลูกตบที่รุนแรงและเทคนิคดีเยี่ยม รวมถึง ไซนา เนห์วาน ตบขนไก่จากอินเดียคู่ต่อกรของ เมย์ ที่เคยเอาชนะในการแข่งขันรายการแบดมินตันเอสซีจี ไทยแลนด์ โอเพน 2012 เมื่อต้นเดือนมิถุนายนอีกด้วย ซึ่งมีจุดเด่นที่ความเหนียวแน่น แต่ก็อย่าลืมนักแบดจากยุโรป ที่มีเยอรมนีและเดนมาร์กเป็นด่านทดสอบอีกเช่นเดียวกันที่เราไม่ควรมองข้ามด้วย โดยการแข่งรอบแบ่งกลุ่มรอบแรกตนไม่ค่อยหนักใจเท่าไหร่ แม้จะเอาหนึ่งคนผ่านเข้ารอบ 16 คนสุดท้ายก็ตาม”
สุดท้ายคือประเภทชายคู่ บดินทร์ อิสระ และ มณีพงศ์ จงจิตร จาก เอสซีจี อคาเดมี ที่ถือว่าได้โควตามาแบบ “ม้านอกสายตา” แต่ก็ด้วยฝีมือล้วนๆ คือ จากการคว้าแชมป์ “โยเน็กซ์-ซันไรส์ อินเดีย โอเพน” ที่ประเทศอินเดียเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนพุ่งขึ้นรั้งคู่มืออันดับ 19 ของโลกชนิดที่ว่าใครก็จะประมาทไม่ได้
“เอ” มณีพงศ์ กล่าวถึงความพร้อม โดยก่อนหน้านี้ “อาท” บดินทร์ คู่หูมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน “หลังจาก บดินทร์ ได้รับอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าด้านขวาเกิดพลิก ระหว่างการฝึกซ้อมที่สมาคมแบดมินตัน นั้น ตอนนี้เราทั้งคู่กลับมาฟิตสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ กลับมาซ้อมเหมือนเดิม และยังส่วนคู่แข่งที่สำคัญใประเภทชายคู่ นั้นเป็นจีนและเกาหลีใต้ที่การตบลูกที่หนักหน่วงและความรวดเร็ว แต่ผลงานที่เคยเจอมานั้นเราก็ผลัดกันแพ้และชนะกันมาแล้ว และได้หาทางแก้ไว้เรียบร้อย เราจะไม่ปล่อยให้เขาบุกใส่เราเพียงฝ่ายเดียวแน่ จากผลงานที่เราคว้าแชมป์ที่อินเดียเมื่อปลายเดือนเมษายนมีความมั่นใจมากขึ้นอีกเท่าตัวด้วยเชื่อว่ามีสิทธิ์เข้ารอบลึกได้เช่นกัน
