“ล็อกผล-ล้มบอล” วิกฤตลูกหนังไทย

ASTVผู้จัดการรายวัน - เกมฟุตบอลสปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012 ผ่านมายังไม่ถึงครึ่งทางของเลกแรก ก็มีปัญหาเกิดขึ้นเกือบทุกสัปดาห์ ที่สำคัญ ส่วนใหญ่เกิดมาจากการทำหน้าที่บกพร่องของผู้ตัดสิน ช่วงแรกพอเข้าใจได้ถึงข้อจำกัดเรื่องมาตรฐาน แต่เมื่อมีความผิดพลาดถี่ขึ้น จึงชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าถึงการมีลับลมคมในของ “เชิ้ตดำ” ที่นำมาซึ่งกลิ่นอายของการล้มบอลล็อกผลการแข่งขันเกิดขึ้น

โดยกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นในเกมไทยพรีเมียร์ลีก แมตช์ที่ ชัยนาท เอฟซี เปิดรังเฉือนชนะ “มังกรไฟ” บีอีซี เทโรศาสน 2-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จากจังหวะที่มีลูกเข้าประตูไปแล้ว แต่บอลเจ้ากรรมดันทะลุตาข่ายแล้วเด้งกลับเข้ามาในสนามอีกครั้ง ซึ่งทีมงานผู้ตัดสินกลับมองไม่เห็น จึงปฏิเสธให้ประตูกับ บีอีซี เทโร อีกทั้งยังมีการเข้าบอลน่าเกลียดของผู้เล่นเจ้าถิ่น การเล่นนอกเกมอีกหลายจังหวะ ทว่า เชิ้ตดำกลับปล่อยปละละเลย

งานนี้ “เสธ.ตุ้ม” พลตรี ชินเสณ ทองโกมล ประธานคณะกรรมการแต่งตั้งและติดตามผลประเมินผู้ตัดสิน ลงดาบสั่งแบนยาวทั้งเปาและผู้กำกับเส้นตลอดฤดูกาลทันที “เราได้พิจารณาผู้ตัดสินในเกมดังกล่าวแล้ว และมีข้อสันนิษฐานว่า อาจมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น เราจีงส่งเรื่องไปให้กับคณะกรรมการฝ่ายป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงการฟุตบอลไทย (คปบ.) เพื่อตรวจหาการข้อเท็จจริงดังกล่าวว่ามีการล้มบอลจริงหรือไม่”

แต่ที่น่าติดใจอยู่ตรงที่ประวัติของ มานพ ปานสาคร เชิ้ตดำที่กลายเป็นประเด็น เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานในเกมมูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ ก็เพิ่งปฏิเสธให้ประตูกับทีมเจ.ดับบลิว.รังสิต แมตช์พบกับ กระบี่ เอฟซี โดยอ้างว่า มีการทำฟาล์วเกิดขึ้น ทั้งที่สักขีพยานทั่วทั้งสนามเห็นชัดว่าจังหวะนั้นไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่นิดเดียว

เรื่องนี้ เสธ.ตุ้ม ยอมรับผ่านทีมข่าว MGR Sport ว่า มีสิ่งต้องสงสัยในวงการผู้ตัดสินอยู่จริง “ทางเราพอรู้ตัวอยู่ว่าผู้ที่มีความประพฤติน่าสงสัยมีใครบ้าง แต่ยังไม่สามารถทำอะได้ เนื่องจากยังไม่หลักฐานมัด จึงได้แค่ประกาศเตือนในที่ประชุมว่าจะดำเนินการอย่างจริงจัง ตอนนี้ผมได้จับตาดูอย่างใกล้ชิด พิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าจะให้ใครทำหน้าที่ในแต่ละแมตช์ เพื่อที่จะพัฒนาผู้ตัดสินของเราและป้องกันปราบปรามการรับงานไม่ให้เกิดขึ้นต่อไป”

ด้าน “บิ๊กย้อย” พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่นั่งแท่นประธาน คปบ.มีการระดมมือดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ กล่าวเสริมว่า “ผมคิดว่า มีการล้มบอลจริง ถึงได้จัดตั้งคณะทำงานนี้ขึ้นมา เราได้ทำการร่างบันทึกการทำความเข้าใจร่วมกัน หรือเอ็มโอยู ให้แต่ละสโมสรกรอกรายละเอียดและยอมรับในกฎระเบียบ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงยื่นให้กับสโมสร โดยเราจะใช้ประโยชน์จาก MOU ฉบับนี้ในการตรวจสอบหาความผิดปกติที่เกี่ยวกับการประพฤติมิชอบในวงการฟุตบอล”

“ตอนนี้บทลงโทษสูงสุด คือ การพักงานผู้เกี่ยวข้องเป็นเวลา 5 ปี แต่เรายังติดขัดในเรื่องของกฎหมายอาญา เพราะถ้าเป็นคนนอกวงการเราจะไม่สามารถกำหนดบทลงโทษได้ ส่วนในกรณีนี้เบื้องต้นผมคงต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาพูดคุยก่อนเป็นอันดับแรก” ทั้งนี้ พล.ต.อ.วรพงษ์ ให้คำมั่นขอให้เชื่อใจในคณะกรรมการชุดนี้ว่าจะทำหน้าที่อย่างยุติธรรม และทำงานอย่างเต็มที่ เพราะถ้าคณะกรรมการชุดนี้ยังไม่สามารถทำได้ก็ไม่มีชุดไหนในประเทศไทยที่ทำได้แล้ว

ขณะที่ “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล กุนซือทีมชลบุรี เอฟซี ผู้มีประสบการณ์การค้าแข้ง และคุมทีมในต่างแดนมาหลายประเทศ แสดงทรรศนะถึงประเด็นล้มบอลทิ้งท้าย ว่า “การล้มบอลมันมีแน่นอนอยู่แล้ว สำหรับผมในบางนัดก็สงสัยเหมือนกันแต่ก็ไม่อยากติดใจอะไร เพราะถ้าเกิดโดยนักเตะ มันก็ขึ้นอยู่กับโค้ชของแต่ละทีมที่จะต้องเป็นผู้คอยสอดส่องดูแลความประพฤติ อาจถึงขั้นต้องดักฟังโทรศัพท์เหมือนที่ประเทศสิงคโปร์ทำ แต่ถ้ามันเกิดกับผู้ตัดสิน ถือว่าเป็นมะเร็งร้ายเลยทีเดียว เพราะเราไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของกรรมการแต่ละคน ที่สำคัญทางผู้ที่เกี่ยวข้องและคอยควบคุมต้องมีกฎกติกาออกมาให้ชัดเจน ไม่ใช่เรื่องเกิดทีก็แก้กันไปที”

ถึงวันนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลไทยต่างพยายามช่วยกันพัฒนาสู่ความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง แต่ถ้ามีเรื่องการล้มบอลเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะยิ่งมีการทุจริตในวงการผู้ตัดสินด้วยแล้ว เกรงว่า วันใดวันหนึ่งฟุตบอลลีกแดนสยามอาจพังครืนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ก็เป็นได้ ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้บอลลีกเมืองต่างประเทศใหญ่ๆ ทยอยกันปิดเทอม เหล่าผีพนันเบนเป้ามาเก็งกำไรกับลีกในประเทศอย่างเต็มตัว นี่ขนาดลีกสูงสุดยังมีกลิ่นฟุ้งขนาดนี้ ลีกระดับภูมิภาคจะซื้อง่ายขายคล่องกว่าขนาดไหน เป็นเรื่องให้ต้องกวดขันกันต่อไป