“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ลบความผิดหวังจากการพลาดแชมป์ เอฟเอ คัพ เมื่อสุดสัปดาห์ก่อนได้สำเร็จ ด้วยการเปิดบ้านล้างแค้น “สิงห์บลู” เชลซี ที่ส่งผู้เล่นตัวสำรองเกือบครึ่งสนามไปแบบเละเทะ 4-1 ในเกมพรีเมียร์ชิป อังกฤษ เมื่อคืนวันอังคารที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
พรีเมียร์ชิป อังกฤษ
ลิเวอร์พูล 4-1 เชลซี
เกมพรีเมียร์ลีก คืนวันอังคารที่ 8 พ.ค.ถือเป็นเกมรีแมตซ์นัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ลิเวอร์พูล อันดับ 9 ของตาราง เปิดสนามแอนฟิลด์ ต้อนรับ เชลซี อันดับ 6 เกมนี้เจ้าบ้านไม่มี สตีเวน เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีมแม้กระทั่งตัวสำรอง แต่กองหน้ายังมี แอนดี คาร์โรล จับคู่ หลุยส์ ซัวเรซ ส่วนทีมเยือนส่งตัวสำรองลงสนามเพียบ รวมถึง เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่ได้เจอกับทีมเก่าด้วย
เริ่มต้น 8 นาที ลิเวอร์พูล ที่วันนี้สวมเสื้อพิเศษระบุโลโกใหม่สนับสนุนแคมเปญช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา ของ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ เป็นฝ่ายทักทายก่อน เฮนเดอร์สัน ไหลบอลให้ ซัวเรซ แตะลอดขา เทอร์รี ก่อนลากเข้าไปยิงเองนอกเขตโทษ แต่บอลหลุดออกเสาสองไปนิดเดียว ส่วนนาที 15 คาร์โรล ลองปั่นบอลทีเผลอ แต่เหินข้ามคานออกไป
“สิงห์บลู” ทำเสียวนาที 17 จังหวะ รามิเรส เปิดบอลจากมุมธงขวามือ แล้วกองหลังหงส์แดงเหม่อปล่อยให้ อิวาโนวิช เทกตัวโหม่งจ่อๆหน้าประตูแต่บอลชนเสาอย่างน่าเสียดาย แต่นาที 18 กลายเป็นเจ้าบ้านขึ้นนำ 1-0 ซัวเรซ ลากบอลขึ้นมาจากริมเส้นฝั่งขวา ก่อนเลี้ยงจี้เข้าหานายประตูจากบริเวณเส้นหลัง และจ่ายไปโดนขา เอสเซียง เข้าประตูไป
เท่านั้นไม่พอ นาที 24 ลิเวอร์พูล ยิงเพิ่มอีกประตู จังหวะ มักซี แทงบอลไปบริเวณที่เทอร์รี ยืนคุมอยู่แต่ดันลื่น กลายเป็นโอกาสให้ เฮนเดอร์สัน กระชากขึ้นไปยิงผ่านมือ เทิร์นบูล เข้าไปเป็น 2-0 จากนั้นสกอร์ก็ไหลเพิ่มเป็น 3-0 คาร์โรล โหม่งชงให้ แอกเกอร์ โขกเข้าไปแบบง่ายๆ
เชลซี ยังตั้งตัวไม่ติด และเกือบเสียประตูอีกครั้ง นาที 33 เทอร์รี โหม่งบอลพลาดกลายเป็น คาร์โรล เลี้ยงจี้เข้าหาประตูก่อนซัดด้วยขวาเต็มข้อ แต่ เทิร์นบูล ยังเซฟได้ จากนั้นคล้อยหลังนาทีเดียว ตอร์เรส เกือบยิงประตูทีมเก่าได้ จังหวะพักบอลหนึ่งจังหวะก่อนลากขึ้นไปยิงมุมแคบ แต่บอลกระเด้งชนคานเหลือเชื่อ
ก่อนหมดเวลา “หงส์แดง” เกือบได้เฮกับประตูที่สี่ ซัวเรซ โหม่งชงให้ ดาวนิง จับหนึ่งจังหวะและกดด้วยซ้ายแบบไม่ลังเล แต่บอลย้อยกระเด้งคานออกไป ต่อมา อิวาโนวิช ไปชักศอกใส่ คาร์โรล ในเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษพร้อมมอบใบเหลืองให้กับ อิวาโนวิช ทว่า ดาวนิง ยิงชนเสา คาร์โรล วิ่งมาซ้ำก็พลาดออกหลัง จบครึ่งแรก เจ้าบ้านนำก่อน 3-0
ครึ่งหลังผ่านมาถึงนาที 50 เชลซี ตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 มาลูดา เปิดฟรีคิกเข้ามาให้ รามิเรส พักอกแล้วบอลกระเด้งเข้าประตู จากนั้น ลิเวอร์พูล พยายามยิงคืน สเคอร์เทล เลี้ยงขึ้นมาจากริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนตัดสินใจกดด้วยขวาเต็มข้อ แต่ไปติดบล็อคกองหลังของ “สิงห์บลู” แต่แล้วเจ้าบ้านก็ทำสำเร็จยิงเป็น 4-1 ช่วงนาที 60 เทิร์นบูล ออกบอลพลาดให้กับ เชลวีย์ ก่อนยิงสวนตูมเดียวเข้าไปแบบสวยงาม
นาที 72 โรเมอู ลูกากู กองหน้าที่ เชลซี เปลี่ยนลงมาแทนที่ สเตอริดจ์ ก็ได้โอกาสพังประตูจากลูกโหม่งระยะเผาขน แต่ เรนา ปฏิกิริยายังยอดเยี่ยมเซฟไว้ได้หวุดหวิด ต่อมานาที 74 ลิเวอร์พูล พลาดได้ประตูที่ห้า จอห์นสัน ตักบอลโด่งไปทางซ้ายให้ คาร์โรล วอลเลย์เต็มข้อแต่บอลแป้กออกหลังไปแบบเหลือเชื่อ
ท้ายเกม เคนนี ดัลกลิช กุนซือทีมเยือน ส่ง เดิร์ก เคาท์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง กองกลางดาวรุ่งลงสนามแทน ดาวนิง และ มักซี ซึ่ง สเตอร์ลิง เกือบแจ้งเกิดหลังได้โอกาสซัดด้วยซ้ายหน้าเขตโทษ แต่บอลเหินข้ามคาน และจากนั้นไม่มีฝ่ายใดยิงเพิ่ม จบเกม ลิเวอร์พูล ล้างแค้น เชลซี ในบ้านนัดสุดท้ายได้สำเร็จ 4-1 เก็บ 3 แต้ม พร้อมขยับขึ้นมาอันดับ 8 มี 52 แต้มเท่าฟูแลม แต่ประตูได้เสียดีกว่า ส่วน เชลซี มี 61 แต้ม รั้งที่ 6 เหมือนเดิม
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : เปเป เรนา, มาร์ติน สเคอร์เทล, เจมี คาร์ราเกอร์, แดเนียล แอกเกอร์, เกล็น จอห์นสัน, จอนโจ เชลวีย์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, มักซี โรดริเกซ, สจวต ดาวนิง, แอนดี คาร์โรล, หลุยส์ ซัวเรซ
เชลซี : รอส เทิร์นบูล, จอห์น เทอร์รี, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, ไรอัน เบอร์ทรานด์, เปาโล แฟร์เรรา, โอริออล โรเมอู, ฟลอรองต์ มาลูดา, มิเกล เอสเซียง, แดเนียล สเตอริดจ์, รามิเรส, เฟร์นานโด ตอร์เรส