เอเยนซี-แมนเชสเตอร์ ซิตี กำลังขยับเข้าใกล้แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษครั้งแรกรอบ 44 ปี เมื่อทำได้ตามเป้าแซงนั่งจ่าฝูง พรีเมียร์ชิป อังกฤษ ด้วยประตูได้บวกมากกว่า 8 ลูก หลังเปิด อิติฮัด สเตเดียม เชือด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 เมื่อวันจันทร์ที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา ทว่า จากนี้ยังมีอีกหลายข้อแม้ที่สามารถทำให้ทั้งคู่ต่างสมหวังและผิดหวังได้กับ 2 นัดที่เหลือ
แวงซองต์ กอมปานี กองหลังกัปตันทีมสวมบทฮีโรเติมขึ้นมาโหม่งประตูชัยช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก โดยมีคนดังของเจ้าถิ่นมาเป็นสักขีพยานเพียบ ทั้ง เลียม กัลลาเกอร์ อดีตนักร้องนำวง “โอเอซิส” และ ดิเอโก มาราโดนา ตำนานทีมชาติอาร์เจนตินาชุดแชมป์โลกปี 1986 ส่งให้ แมนฯซิตี แซงนำด้วยการมี 83 แต้ม จาก 36 นัดเท่ากับ แมนฯยู แต่ประตูได้บวกมากกว่า 8 ลูก ทั้งที่เมื่อ 19 วันก่อนยังตามหลังถึง 8 แต้ม มีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 3 และเป็นครั้งแรกต่อจากฤดูกาล 1967-68 ซึ่งปีนั้นก็เฉือน “ผีแดง” 2 แต้มจากการลงเตะระบบ 42 นัด
ระหว่างเกมนาที 76 ผู้ตัดสินที่ 4 ต้องมาห้ามมวย เมื่อ ไนเจล เดอ ยอง ห้องเครื่องพันธุ์ระห่ำ เสียบหนักใส่ แดนนี เวลเบ็ค ดาวยิงตัวสำรองของทีมเยือน ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ แมนฯยู ไม่พอใจเรียกร้องขอใบแดง ร้อนถึง โรแบร์โต มันชินี ต้องออกมาปกป้องลูกทีม พร้อมให้อีกฝ่ายหยุดพูด แต่ก็โดนตอกกลับว่า กุนซือ แมนฯซิตี พยายามกดดันกรรมการตลอดทั้งเกม ทว่า ไม่บานปลายเมื่อจบเกม ทั้งคู่ก็จับมือกันแบบมืออาชีพ
หลังเกม มันชินี สัมภาษณ์เพื่อให้ลูกทีมมีสมาธิว่าการชิงชัยฤดูกาลนี้ยังไม่จบ “ทุกคนมีความสุข ผมคิดว่า แมตช์นี้เราสมควรชนะ คุมเกม ครองบอล เล่นได้ดี และยิงประตูได้ น่าจะบวกลูกสองได้ด้วยซ้ำ ขณะที่ แมนฯยู แทบไม่มีจังหวะจะแจ้งเลย อีก 2 นัดเรายังต้องเจอกับทีมที่แข็งแกร่ง ดังนั้น การลุ้นแชมป์ยังไม่สิ้นสุด ถ้าเราคิดว่าจบแล้วก็จะถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรง”
อย่างไรก็ตาม กอมปานี เชื่อมั่นว่า ประตูได้บวกมากกว่า 8 ลูก จะถือเป็นสิ่งชี้ขาดแชมป์เลยทีเดียว ถ้าทั้ง 2 ทีมชนะรวด “เรากำลังรอจังหวะแบบนี้แหละ แม้รู้ดีว่าทุกอย่างยังไม่จบ แต่เราจะทุ่มทุกอย่างเพื่อแฟนบอลคว้าชัย 2 นัดคว้าแชมป์เหนือ ยูไนเต็ด ให้ได้ ก็หวังว่าจะสำเร็จ เนื่องจากประตูได้-เสียบวก 8 ลูก ถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญมากในช่วงเวลาแบบนี้”
ฟาก เซอร์ อเล็กซ์ ที่กำลังทำแชมป์ พรีเมียร์ชิป สมัยที่ 13 หลุดมือทั้งที่นำถึง 8 แต้ม จะถือเป็นการสะดุดขาตัวเองช่วงโค้งสุดท้ายซ้ำรอยฤดูกาล 2009-10 ถูก เชลซี ปาดหน้า ได้เพียงแค่กล่าวทำใจกับฟอร์มของลูกทีม ทั้งที่เป็นคนวางแทกติกทั้งรับ 4-5-1 พักตัวจี๊ดอย่าง แอชลีย์ ยัง แดนนี เวลเบ็ค และ อันโตนิโอ วาเลนเซีย “เป็นผลการแข่งขันที่สร้างความเสียหาย ซิตี กำลังได้เปรียบ เพียงแค่ชนะอีก 2 นัดก็จะคว้าแชมป์ ถ้าคุณเสียประตูจากลูกเซตพีซในเกมระดับนี้ ก็คงได้แต่โทษตัวเอง เราดันมาโดนยิงในเวลาที่ไม่ดี เพราะเกมไม่มีอะไรเลยในช่วงท้ายครึ่งแรก”
สำหรับโปรแกรมที่เหลือของทั้งคู่เริ่มจาก แมนฯซิตี ไปเยือน นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด วันที่ 6 พฤษภาคม และเปิดบ้านพบ ควีนสปาร์ก เรนเจอร์ส วันที่ 13 พ.ค.ส่วน แมนฯยูไนเต็ด เปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พบ สวอนซี ซิตี วันที่ 6 พ.ค.และออกไปเยือน ซันเดอร์แลนด์ วันที่ 13 พ.ค.
แต่ยอมรับว่า แมนฯซิตี เจอศึกหนักกว่า เพราะคู่ต่อกรอีก 2 ด่านต่างลงเล่นโดยมีเป้าหมาย เยือนรัง นิวคาสเซิล ถือว่ายากสุด เนื่องจากเจ้าถิ่นต้องสู้เพื่อโควตา ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก อีกทั้งเกมนอกบ้านของ “เรือใบสีฟ้า” ปีนี้ก็ไม่สู้ดี ด้าน ควีนสปาร์ก แม้ต้องหนีตกชั้น แต่การมาเยือน อิติฮัด สเตเดียม ยากเหลือเกินที่จะมีแต้มออกไป ดังนั้น จึงน่าจะตัดสินแชมป์กันที่ถิ่น เซนต์ เจมส์ ปาร์ค
แมนฯยู ยังมีความหวังก็จริง เพราะ สวอนซี และ ซันเดอร์แลนด์ ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว รั้งอันดับ 12 และ 11 ตามลำดับ หาก แมนฯซิตี ไม่สะดุดชนะรวด ข้อแม้เดียวที่จะคว้าแชมป์ คือ ต้องยิงถล่มทลายเพื่อปาดหน้าด้วยประตูได้ที่ดีกว่าเฉลี่ยแล้วอาจจะต้องยิงนัดละ 5-0 เป็นอย่างน้อย ขณะที่ “เรือใบ” ชนะ 1-0 ทั้ง 2 นัด ประตูได้ก็จะมาเท่ากันพอดี ฤดูกาลนี้ “ผีแดง” เคยยิงได้มากที่สุด คือ ชัยชนะเหนือ อาร์เซนอล 8-2 เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปี 2011 ดูแล้วเป็นไปได้ยากมาก