xs
xsm
sm
md
lg

ฤทธิ์ “เซราะกราว” “ยี” เก้าอี้สะเทือน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ศุกร์ 20 เมษายน ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า อุณหภูมิที่ร้อนใกล้จะ 40 องศา ภายนอกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จะยังไม่ร้อนเท่ากับอารมณ์ของ นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมลูกหนังที่ ร่วมกับ นายอดิศัย วารินทร์ศิริกุล ตัวแทนจากสยามสปอร์ต ในการประชุมชี้แจงเรื่องการจัดการสิทธิประโยชน์ต่อสโมสรไทยพรีเมียร์ลีก ทั้ง 18 สโมสร หลังจาก นายเนวิน ชิดชอบ “เซราะกราว” จากบุรีรัมย์ ทำหน้าที่เพิ่มอุณหภูมิอารมณ์ของห้องประชุมให้สูงขึ้น ด้วยคำถามที่นายกสมาคมไม่สามารถตอบได้ ก่อนจะบ่ายเบี่ยงให้ทำหนังสือมาขอเอกสาร ก่อนที่จะสรุปจบเรื่องทั้งหมดโดยที่ไม่ได้ไขความกระจ่าง ให้กับตัวแทนสโมสรทั้ง 16 แห่ง ที่เข้าร่วมฟังการชี้แจง ขณะที่สัญญากับสยามสปอร์ต ซึ่งฝ่ายหลังประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป แต่ท้ายที่สุด ก็คดีพลิก เมื่อ นายวรวีร์ ออกปากในที่ประชุม ว่าเตรียมจะดึงให้อยู่ต่อ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของนายกสมาคมลูกหนังนั้น นายใหญ่แห่งทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ให้นิยามสั้นๆ ว่า “ล็อกสเปก”

หลังการชี้แจงที่ นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ออกหน้าเอง ยังไม่สามารถไขข้อข้องใจให้กับ นายเนวิน ชิดชอบ และ พันธมิตรร่วมอุดมการณ์จาก 16 สโมสรในไทยพรีเมียร์ลีกได้ ต่อเรื่องการจัดการสิทธิประโยชน์ของการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในไทยพรีเมียร์ลีกได้ ผู้สื่อข่าว MGR Sport ได้โทรศัพท์สอบถามท่าทีล่าสุดว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไรโดย นายเนวิน กล่าวว่า

“จากนี้ทางผมและทีมงานจะส่งหนังสือเพื่อขอดูสัญญาที่ทางสมาคมทำเอาไว้กับภาคเอกชน ตามที่นายกสมาคมฟุตบอลฯ เอ่ยขอเอาไว้จากนั้นคงต้องมาดูกัน ว่า สัญญาดังกล่าวถูกต้อง และโปร่งใสแค่ไหน เพราะที่ผ่านมา เราในฐานะสโมสรที่มีทีมอยู่ในการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีก ไม่เคยได้รับรู้การดำเนินงานของทางสมาคม และบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก เลย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วฝ่ายบริหารของทั้งสองแห่งต้องชี้แจงได้อย่างชัดเจนหากมีใครทวงถาม”

ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เตรียมจะดึงให้สยามสปอร์ต กลับมาดูแลเหมือนเดิม หรืออาจให้อยู่ในฐานะบริษัทที่ปรึกษา หรือทำการถ่ายทอดสด นั้นเป็นการ “ล็อกสเปก” จากนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เกินไปหรือไม่ เพราะเรื่องรายได้ที่หายไปยังไม่สามารถชี้แจงให้ชัดเจนได้ก็เตรียมที่จะดึงให้สยามสปอร์ต กลับมาทำเหมือนเดิมแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริง ทางสมาคมควรจะเปิดประมูลหาผู้เข้ามาดูแลผลประโยชน์รายใหม่ ไม่ใช่อะไรก็กลับไปที่ บ.สยามกีฬาโดยตลอด”

ทั้งนี้ นายเนวิน ยังย้ำในการพูดคุยกับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ ว่า “การเข้ามาตรวจสอบของผมในครั้งนี้ ไม่ได้หวังว่าสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ไม่ได้ต้องการมีอำนาจหน้าที่ในสมาคม แต่ผมต้องการความชัดเจนจากทางสมาคม และบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก เพื่อที่จะพัฒนาวงการฟุตบอลไทย หากผู้บริหารยังทำงานกันแบบไม่โปร่งใสเช่นนี้ แล้วสโมสรที่ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันจะมีความมั่นใจได้อย่างไร”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามนายเนวิน ว่า การตรวจสอบในครั้งนี้ต้องการเห็นความรับผิดชอบของผู้บริหารสมาคม ใช่หรือไม่ นายเนวิน กล่าวว่า “อันที่จริงการที่คุณเป็นผู้บริหารองค์กร ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเงินภาษีประชาชน คุณต้องไม่ลืมว่า สมาคมฟุตบอลนั้น มีคำว่า “แห่งประเทศไทย” ตามหลังนั่น จึงหมายความว่า สมาคมเป็นของคนไทยทั้งประเทศ เมื่อคุณทำหน้าที่บริหาร แล้วบริหารผิดพลาด ผมว่าเป็นวิจารณญานส่วนบุคคลว่าควรทำอย่างไรต่อไป”

ส่วนเรื่องที่ นายกสมาคมลูกหนังเตรียมจัดทำแบบฟอร์มให้กับทุกสโมสร เพื่อตอบรับว่าปีต่อไปจะยังเข้าร่วมการแข่งขันหรือไม่ ถ้าไม่ก็จะนำทีมจากดิวิชัน 1 ขึ้นมาแทน เพื่อให้ครบตามจำนวน ซึ่งหลายฝ่ายมองตรงกันว่า นายวรวีร์ ต้องการสื่อว่า “ใครไม่พอใจก็ไม่ต้องร่วมการแข่งขัน” ซึ่งเรื่องนี้ นายเนวิน มองว่า เป็นคนละเรื่องกับการชี้แจงความโปร่งใสในการดำเนินงานของสมาคม และนายกสมาคม ก็ไม่ควรใช้คำพูดที่ทำให้หลายคนเข้าใจไปในลักษณะดังกล่าว

พร้อมกันนี้ นายเนวิน ยังได้แสดงความคิดเห็นต่อคำพูดที่ นายวรวีร์ กล่าวในที่การชี้แจงเมื่อสัปดาห์ก่อน ว่า “ที่ท่านนายกสมาคม บอกว่า ที่พวกเรามาเรียกร้องในครั้งนี้ มาในยุคที่วงการฟุตบอลไทยนั้นพัฒนาไปแล้วไม่ได้ล้มลุกคลุกคลานเหมือนก่อน ผมอยากจะบอกท่าน ว่า วันนี้ทุกสโมสรยังไม่มีใครได้กำไรเลย ทุกคนขาดทุนแต่ก็ไม่เห็นใครรับผิดชอบ แต่พอเรามาร้องหาความชัดเจนในการบริหารของสมาคม และ บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก ท่านให้คำตอบเราไม่ได้”

สุดท้ายเมื่อผู้สื่อข่าวถามนายเนวิน ว่า หากคำตอบที่ได้จากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ยังคงไม่โปร่งใสชัดเจนอย่างที่ต้องการ มีความเป็นไปได้ขนาดไหนในการออกมาจัดการแข่งขันเอง “ส่วนตัวแล้วผมไม่อยากให้เรื่องเดินทางไปถึงจุดนั้น เพราะเวลานี้เพียงแค่สมาคม ออกมารับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการบริหารจัดการ และให้คำตอบที่ชัดเจนจากการทวงถาม ก็น่าจะทำให้ทุกฝ่ายสบายใจและร่วมงานกันต่อไป แต่ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวผมต้องฟังเพื่อน พี่น้องที่ร่วมอุดมการณ์และต้องการเห็นวงการฟุตบอลไทยพัฒนาว่าจะตัดสินใจกันอย่างไร”

ก่อนหน้านี้ นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เคยมีกรณีอื้อฉาวเมื่อถูกลอร์ดทริสแมน อดีตประธานเอฟเออังกฤษ กล่าวหาว่า เรียกร้องสินบนเพื่อลงคะแนนเสียงให้อังกฤษเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก แต่ท้ายที่สุด นายวรวีร์ ก็รอดอยู่ในตำแหน่งต่ออย่างหน้าตาเฉย แต่สำหรับครั้งนี้ แม้คู่ชกจะเป็นแค่ประธานสโมสรฟุตบอลจากบุรีรัมย์ หากแต่เป็น “เซราะกราว” ระดับซูเปอร์เพาเวอร์ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ระดับประเทศมาแล้ว และถ้าเจ้าของนิกเนม “บังยี” ยังคิดจะงัดข้อกันต่อ คงต้องมาดูตอนจบว่าระหว่างนายกสมาคมลูกหนังที่ได้ดำรงตำแหน่งในปี 2550 แต่ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน กับเจ้าของสโมสรที่พาทีมคว้าแชมป์ไทยพรีเมียรลีก ในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ฤดูกาล “ใครจะเป็นฝ่ายไป”
บิ๊กเน ขอตรวจสอบเต็มที่
บังยี บัลลังก์ชักสะเทือน
กำลังโหลดความคิดเห็น