คอลัมน์ ON TRACK โดย เด็กปั๊ม
ไม่ได้มีเจตนาบอกใบ้เลขเด็ดงวดหน้าแต่อย่างใดครับ แต่หมายเลข 111 ในหัวข้อด้านบนพื้นที่ออนแทร็กในวันนี้ คือ 111 เรซ แห่งการรอคอยของ นิโค รอสเบิร์ก นักขับเอฟวันสังกัดทีมเมอร์เซเดส ที่ใช้เวลากว่า 6 ปีกว่าที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งในชัยชนะกรังด์ปรีซ์แรก ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ในศึกไชนีส กรังด์ปรีซ์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง
ผมเองยังจำได้กับผลงานของนักซิ่งรุกกีของวงการเอฟวัน ที่ขึ้นชั้นจากการแข่งขันระดับจีพี 2 มาซิ่งให้กับทีมวิลเลียมส์-คอสเวิร์ธ ในปี 2006 ที่สำคัญ การที่ นิโค คือ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ เกเก้ รอสเบิร์ก อดีตแชมป์โลกเอฟวันปี 1982 ชาวออสเตรีย ทำให้เด็กหนุ่มวัย 20 ปี ในเวลานั้นแบกรับความกดดันอันหนักอึ้ง กับเงื่อนไขที่จะต้องประสบความสำเร็จเหมือนกับคุณพ่อตัวเอง
หากใครที่ติดตามการแข่งขันเอฟวันมาโดยตลอด เชื่อแน่ว่า จะต้องรู้ซึ้งถึงฝีไม้ลายมือของนิโคเป็นอย่างดี เพราะช่วงเวลาที่เขาอยู่กับทีมวิลเลียมส์ ซึ่งเป็นทีมระดับกลางๆ ค่อนไปทางท้ายแถวต้องบอกว่าสอบผ่านฉลุย ตั้งแต่การประเดิมสนามแรกที่บาห์เรนในปี 2006 ด้วยอันดับที่ 7 ทั้งยังสร้างสถิติเป็นนักขับอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เอฟวันที่ทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุดอีกด้วย
โดยส่วนตัว “เด็กปั๊ม” เองก็ยังแอบเอาใจช่วยเจ้าหนูนิโคอยู่ลึกๆ ตั้งแต่เขาซิ่งให้วิลเลียมส์ รวมถึงมีโอกาสได้ไปกระทบไหล่เจ้าตัวครั้งเดินทางมาโปรโมตนาฬิกาข้อมือยี่ห้อหนึ่งในเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อน เพราะหากเทียบความเร็วกันแล้ว หากรอสเบิร์กได้ขับรถของทีมหัวแถว ผมกล้าพูดว่าฝีมือของเด็กคนนี้ไม่เป็นรอง เซบาสเตียน เวทเทล รวมถึง ลูอิส แฮมิลตัน อย่างแน่นอน
ซึ่งในที่สุดหนุ่มนิโค หรือที่ในวงการเอฟวัน ตั้งฉายาให้เป็น “ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ แห่ง เอฟวัน” ก็สามารถนับหนึ่งในการคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์แรกในชีวิตการขับเอฟวันของตัวเอง ที่สนามเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ในศึกไชนีสกรังด์ปรีซ์ หลังใช้เวลาตลอด 6 ปี (4 ปีแรกกับวิลเลียมส์ และ 2 ปีหลังกับเมอร์เซเดส) รวมแล้วออกมาได้เลขสวยที่ 111 เรซ พอดิบพอดี
แต่จะว่าไปช่วงเวลาแห่งการรอคอยของนิโคนั้น ไม่ถึงกับเป็นสถิติตลอดกาลของเอฟวันเสียทีเดียวครับ เพราะก่อนหน้านี้ มีนักขับดังถึง 4 ราย ที่ใช้เวลาแข่งขันมากกว่ารอสเบิร์ก ก่อนที่จะคว้าแชมป์แรกในชีวิตได้ เริ่มจาก มาร์ค เว็บเบอร์ (130 เรซ), รูเบนส์ บาร์ริเคลโล (123 เรซ),ยาร์โน ทรูลลีย์ (119 เรซ) และเจนสัน บัตตัน (113 เรซ)
แต่ที่เป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์หลังจาการคว้าแชมป์ที่จีนของนิโค คือ การทำสถิติเป็นนักขับพ่อ-ลูกคู่ที่ 3 ของวงการที่สามารถคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์ได้ ต่อจากคู่ของเกรแฮม และ ดามอน ฮิลล์ อดีตแชมป์โลกชาวอังกฤษ รวมถึง จิลล์ และ ฌัคส์ วิลเนิร์ฟ คู่พ่อ-ลูกชาวแคนาเดียน ที่แม้จิลล์ผู้พ่อที่ซิวชัยชนะได้ 6 สนาม จะคว้าแชมป์โลกไม่ได้ และเสียชีวิตคาแทร็กที่เบลเยียมในปี 1982 แต่ วิลเนิร์ฟ จูเนียร์ ก็สร้างชื่อด้วยการคว้าแชมป์โลกเอฟวันมาครองได้ในปี 1997
ด้วยวัยเพียงแค่ 26 ปี คงต้องบอกว่า การไล่ล่าความสำเร็จบนเวทีเอฟวันของ นิโค รอสเบิร์ก เพิ่งจะเริ่มนับหนึ่งเท่านั้น และยิ่งการได้อยู่ในทีมของ “พ่อมดเอฟวัน” อย่าง รอส บรอว์น ด้วยแล้ว คงไม่ใช่เรื่องแปลกครับหากรอสเบิร์กรุ่นลูกจะตามรอยคุณพ่อด้วยการคว้าแชมป์โลกเอฟวันมาเชยชมในอนาคตหลังจากนี้
ไม่ได้มีเจตนาบอกใบ้เลขเด็ดงวดหน้าแต่อย่างใดครับ แต่หมายเลข 111 ในหัวข้อด้านบนพื้นที่ออนแทร็กในวันนี้ คือ 111 เรซ แห่งการรอคอยของ นิโค รอสเบิร์ก นักขับเอฟวันสังกัดทีมเมอร์เซเดส ที่ใช้เวลากว่า 6 ปีกว่าที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งในชัยชนะกรังด์ปรีซ์แรก ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ในศึกไชนีส กรังด์ปรีซ์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง
ผมเองยังจำได้กับผลงานของนักซิ่งรุกกีของวงการเอฟวัน ที่ขึ้นชั้นจากการแข่งขันระดับจีพี 2 มาซิ่งให้กับทีมวิลเลียมส์-คอสเวิร์ธ ในปี 2006 ที่สำคัญ การที่ นิโค คือ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ เกเก้ รอสเบิร์ก อดีตแชมป์โลกเอฟวันปี 1982 ชาวออสเตรีย ทำให้เด็กหนุ่มวัย 20 ปี ในเวลานั้นแบกรับความกดดันอันหนักอึ้ง กับเงื่อนไขที่จะต้องประสบความสำเร็จเหมือนกับคุณพ่อตัวเอง
หากใครที่ติดตามการแข่งขันเอฟวันมาโดยตลอด เชื่อแน่ว่า จะต้องรู้ซึ้งถึงฝีไม้ลายมือของนิโคเป็นอย่างดี เพราะช่วงเวลาที่เขาอยู่กับทีมวิลเลียมส์ ซึ่งเป็นทีมระดับกลางๆ ค่อนไปทางท้ายแถวต้องบอกว่าสอบผ่านฉลุย ตั้งแต่การประเดิมสนามแรกที่บาห์เรนในปี 2006 ด้วยอันดับที่ 7 ทั้งยังสร้างสถิติเป็นนักขับอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เอฟวันที่ทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุดอีกด้วย
โดยส่วนตัว “เด็กปั๊ม” เองก็ยังแอบเอาใจช่วยเจ้าหนูนิโคอยู่ลึกๆ ตั้งแต่เขาซิ่งให้วิลเลียมส์ รวมถึงมีโอกาสได้ไปกระทบไหล่เจ้าตัวครั้งเดินทางมาโปรโมตนาฬิกาข้อมือยี่ห้อหนึ่งในเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อน เพราะหากเทียบความเร็วกันแล้ว หากรอสเบิร์กได้ขับรถของทีมหัวแถว ผมกล้าพูดว่าฝีมือของเด็กคนนี้ไม่เป็นรอง เซบาสเตียน เวทเทล รวมถึง ลูอิส แฮมิลตัน อย่างแน่นอน
ซึ่งในที่สุดหนุ่มนิโค หรือที่ในวงการเอฟวัน ตั้งฉายาให้เป็น “ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ แห่ง เอฟวัน” ก็สามารถนับหนึ่งในการคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์แรกในชีวิตการขับเอฟวันของตัวเอง ที่สนามเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ในศึกไชนีสกรังด์ปรีซ์ หลังใช้เวลาตลอด 6 ปี (4 ปีแรกกับวิลเลียมส์ และ 2 ปีหลังกับเมอร์เซเดส) รวมแล้วออกมาได้เลขสวยที่ 111 เรซ พอดิบพอดี
แต่จะว่าไปช่วงเวลาแห่งการรอคอยของนิโคนั้น ไม่ถึงกับเป็นสถิติตลอดกาลของเอฟวันเสียทีเดียวครับ เพราะก่อนหน้านี้ มีนักขับดังถึง 4 ราย ที่ใช้เวลาแข่งขันมากกว่ารอสเบิร์ก ก่อนที่จะคว้าแชมป์แรกในชีวิตได้ เริ่มจาก มาร์ค เว็บเบอร์ (130 เรซ), รูเบนส์ บาร์ริเคลโล (123 เรซ),ยาร์โน ทรูลลีย์ (119 เรซ) และเจนสัน บัตตัน (113 เรซ)
แต่ที่เป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์หลังจาการคว้าแชมป์ที่จีนของนิโค คือ การทำสถิติเป็นนักขับพ่อ-ลูกคู่ที่ 3 ของวงการที่สามารถคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์ได้ ต่อจากคู่ของเกรแฮม และ ดามอน ฮิลล์ อดีตแชมป์โลกชาวอังกฤษ รวมถึง จิลล์ และ ฌัคส์ วิลเนิร์ฟ คู่พ่อ-ลูกชาวแคนาเดียน ที่แม้จิลล์ผู้พ่อที่ซิวชัยชนะได้ 6 สนาม จะคว้าแชมป์โลกไม่ได้ และเสียชีวิตคาแทร็กที่เบลเยียมในปี 1982 แต่ วิลเนิร์ฟ จูเนียร์ ก็สร้างชื่อด้วยการคว้าแชมป์โลกเอฟวันมาครองได้ในปี 1997
ด้วยวัยเพียงแค่ 26 ปี คงต้องบอกว่า การไล่ล่าความสำเร็จบนเวทีเอฟวันของ นิโค รอสเบิร์ก เพิ่งจะเริ่มนับหนึ่งเท่านั้น และยิ่งการได้อยู่ในทีมของ “พ่อมดเอฟวัน” อย่าง รอส บรอว์น ด้วยแล้ว คงไม่ใช่เรื่องแปลกครับหากรอสเบิร์กรุ่นลูกจะตามรอยคุณพ่อด้วยการคว้าแชมป์โลกเอฟวันมาเชยชมในอนาคตหลังจากนี้