เอเยนซี-ตลาดซื้อ-ขายนักเตะรอบสองเปิดทำการเดือนมกราคม 2012 กลับไปซบเซาอีกครั้ง หลังช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเม็ดเงินกลับมาสะพัดสวนกระแสเศรษฐีกิจโลกมากที่สุดรอบเกือบ 10 ปี แต่ปีนี้โดยเฉพาะทีมระดับหัวแถวอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาร์เซนอล ลิเวอร์พูล และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ แทบไม่ขยับตัวเลย
ย้อนไปเมื่อต้นปี 2011 ถือเป็นช่วงตลาดเปิดหน้าหนาวที่ระห่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2003 เพราะ 20 สโมสร พรีเมียร์ชิป หว่านเม็ดเงินรวมกันเกือบ 200 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท) ถือเป็นการจับจ่ายแข้งสูดที่สุดเป็นสถิติใหม่มากกว่าปี 2008 และ 2009 ที่ทำเอาไว้ 150 ล้านปอนด์ (ประมาณ 7,500 ล้านบาท) และ 170 ล้านปอนด์ (ประมาณ 8,500 ล้านบาท) ตามลำดับ แต่ตลาดที่กำลังจะปิดตัวลง 5 ทุ่มวันที่ 31 มกราคม 2012 ตามเวลาท้องถิ่นประเทศอังกฤษมีโอกาสสูงที่จะกลับไปเงียบเหงาเช่นปี 2010 ที่มีตัวเลขเพียง 29 ล้านปอนด์ (ประมาณ 145 ล้านบาท)
ตลอดเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ม้ามืดที่พุ่งขึ้นมารั้งอันดับ 6 คือทีมที่ควักเงินมากที่สุด 10 ล้านปอนด์ (ประมาณ 500 ล้านบาท) ดึง ปาปิสส์ ซิสเซ กองหน้าทีมชาติเซเนกัล มาเสริมแนวรุกหลังยิงกระจายให้กับ ไฟร์บวร์ก ถือเป็นการต่อจิ๊กซอว์ที่ถูกจุด เพราะ อลัน พาร์ดิว มองเห็นแล้วว่า "สาลิกาดง" ผลิตสกอร์ได้น้อยเกินไปผลงานระยะหลังจึงรูดลงมาเรื่อยๆ มีเพียง เดมบา บา ที่แบกภาระยิงอยู่คนเดียวถลุงไปแล้ว 15 ประตูรั้งรองดาวซัลโล พรีเมียร์ชิป เวลานี้
ทีมที่ใช้เงินรองลงมาคือแชมป์นักช็อปเมื่อต้นปี 2011 เชลซี จ่ายไป 7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 350 ล้านบาท) ดึง แกรี เคฮิลล์ กองหลังทีมชาติอังกฤษมาจาก โบลตัน วันเดอเรอร์ส หากราคาไม่ยอมเหยาเพราะว่าแข้งกำลังจะหมดสัญญาช่วงซัมเมอร์นี้สงสัยอาจจะไม่ขยับตัวเช่นกัน นอกจากนี้กำลังจะได้ เควิน เดอ บรุยน์ ปีกทีมชาติเบลเยี่ยมมาจาก เกงค์ แต่ค่าตัวยังไม่แน่นอนโดยเซ็นสัญญายาว 5 ปีครึ่งทว่าจะให้ต้นสังกัดเก่ายืมตัวใช้งานจนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาลนี้เงินก็อาจจะยังไม่ต้องชำระทันที
ถือว่า โรมัน อบราโมวิช เจ้าของ เชลซี ยังไว้ลายเศรษฐีประจำกรุงลอนดอนที่เคยเจ็บมาแล้วจากการควักเงิน 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,750 ล้านบาท) ดึง เฟร์นานโด ตอร์เรส และ ดาวิด ลุยซ์ กองหลังชาวบราซิเลี่ยนเมื่อช่วงต้นปี 2011 โดยเฉพาะในรายของกองหน้าทีมชาติสเปนชุดแชมป์โลก 2010 เรียกได้ว่าป่วนตลาดเลยทีเดียวเพราะทุบสถิติโยกย้าย 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,500 ล้านบาท) แต่คงเข็ดไปนานกับการใช้เงินครั้งนี้เนื่องจากทีมไม่สามารถเร่งแซง แมนฯยู เข้าป้ายคว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิป
ส่วนยักษ์ใหญ่ที่เหลืออย่าง แมนฯยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล ประกาศจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ก่อนตลาดเปิดแล้วว่าจะไม่เบิกเงินจากบอร์ดบริหารตกแต่งทัพช่วงนี้ เช่นเดียวกับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ที่มีผู้เล่นให้เลือกใช้ล้นมืออยู่แล้ว ส่วน แมนฯซิตี ผิดคาดเพราะช่วงเดียวกันของปี 2011 ใช้เงินไป 27 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,350 ล้านบาท) ตอนนี้ไม่มีข่าวเล็ดรอดออกมาเลย
ด้าน ลิเวอร์พูล ที่มีประสบการณ์เจ็บปวดคล้าย เชลซี คือนักเตะที่ย้ายช่วงหน้าหนาวจะมีปัญญาในการปรับตัวคือ แอนดี คาร์โรลล์ กองหน้าทีมชาติอังกฤษ โยกจาก นิวคาสเซิล ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,750 ล้านบาท) แต่ตอนนี้ยิงไปได้แค่ 6 ประตูจาก 35 นัดเรียกได้ว่าฟอร์มฝืดเรื้อรัง แม้ เคนนี ดัลกลิช นายทัพใหญ่ "หงส์แดง" จะอยากจะได้ใครมาเสริมโดยเฉพาะแดนหน้าแต่ทำไม่ได้ เพราะต้องแบกภาระค่าเหนื่อยของแข้งขยะที่โละไม่ได้อย่าง โจ โคล และ คริสเตียน โพลเซน บอร์ดชาวสหรัฐฯ จึงไม่อนุมัติเม็ดเงิน
อีกหนึ่งกระแสที่กลับมาฮิตคือแข้งจาก เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา ที่ย้ายมาแบบยืมตัวเพื่อรักษาสภาพความฟิตช่วงปิดซีซัน ตอนนี้ก็มี ร็อบบี คีน กองหน้าจาก ลอส แองเจลิส กาแล็คซี เล่นให้ แอสตัน วิลลา แลนดอน โดโนแวน ดาวยิงทีมเดียวกันเล่นให้ เอฟเวอร์ตัน รวมถึง เธียร์รี อองรี หัวหอก นิว ยอร์ก เรด บูลล์ส เล่นให้ อาร์เซนอล นอกจากนี้ยังมี พอล สโคลส์ กองกลางวัย 37 ปีที่ แมนฯยูไนเต็ด กล่อมจนกลับมาสวมสตั๊ดอีกครั้งหลังเลิกเล่นเมื่อช่วงซัมเมอร์ ถือว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ "ผีแดง" ยืดหยุ่นรับมือกับสถานการณ์ได้ดีเยี่ยม
ส่งท้ายตลาดคงไม่มีอะไรฮือฮาไปมากกว่านี้ที่ย้ายอีกคนมีเพียง ควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์ส น่าจะได้ ฌิบริล ซิสเซ อดีตกองหน้า ลิเวอร์พูล วัย 30 ปีย้ายมาจาก ลาซิโอ ด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 200 ล้านบาท) และ นิคิกา เยลาวิช กองหน้าโครแอตย้ายจาก กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ร่วมทัพ เอฟเวอร์ตัน ด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 300 ล้านบาท)
