ยิ้มกันถ้วนหน้าสำหรับตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลเอฟเอคัพ 2011 หลัง มูลนิธิไทยคม จับมือ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ, สยามสปอร์ต และการกีฬาแห่งประเทศไทย เพิ่มเงินรางวัลทีมแชมป์เป็น 3 ล้านบาท พร้อมเปิดรับสมัครทีมลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2, ถ้วย ข, ค, ง ภายในเดือนมีนาคมเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในเดือนเมษายน 2554 ทั้งนี้เปิดโครงการ มูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ ฟุตบอลแคมป์ 2011 เฟ้นหา 10 นักเตะเยาวชน จาก 5 ภาค ทั่วประเทศ รับทุนการศึกษา 10,000 บาท ต่อคน ต่อปี จนจบปริญญาตรี
เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิไทยคม ร่วมกับ วรวีร์ มะกูดี รักษาการนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ อารักษ์ พรประภา กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เป็นประธานแถลงข่าวการแข่งขันฟุตบอล "มูลนิธิไทยคม เอฟ.เอ.คัพ 2011" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ร่วมกับ สรายุทธ มหวลีรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามสปอร์ตมีเดีย แมเนจเม้นท์ จำกัด และ "โค้ชหรั่ง" ชาญวิทย์ ผลชีวิน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาบุคลากร กรมพลศึกษา และประธานฝ่ายเทคนิค สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ณ ห้องวาสนา โรงแรมโกลเดน ทิวลิป ซอฟเฟอริน (เรดิสัน)
โดย "บังยี" วรวีร์ มะกูดี รักษาการนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวถึงการแข่งขันฟุตบอล "มูลนิธิไทยคม เอฟ.เอ.คัพ (F.A.CUP) 2011 ว่า " เป็นการแข่งขันฟุตบอลถ้วยน็อกเอาต์ที่ยิ่งใหญ่ของสมาคมฟุตบอลฯ ที่จับฉลากประกบคู่แข่งขันแบบแพ้คัดออกตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบรองชนะเลิศ ซึ่งจะทำให้ทีมแชมป์ของทัวร์นาเมนต์นี้เป็นทีมที่ไม่เคยรู้จักคำว่าแพ้มาก่อนเลย โดยสโมสรที่เข้าร่วมแข่งขันในปีนี้ประกอบไปด้วย 18 ทีมจากไทยพรีเมียร์ลีก, 18 ทีม จากดิวิชั่น 1 และทีมลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 และ ถ้วย ข,ค,ง ที่สมัครเข้าร่วมแข่งขัน ทั้งนี้ทีมที่สนใจสมัครได้ภายในเดือนมีนาคม ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมค่าประกันทีม 20,000 บาท ซึ่งจะคืนให้หลังจบการแข่งขัน ทว่าต้องไม่ทำผิดกฎระเบียบการแข่งขันในครั้งนี้ โดยกำหนดให้ทุกทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันต้องมีสนามเหย้าเป็นของตัวเอง ทีมที่จับสลากเป็นชื่อแรกจะได้เป็นเจ้าบ้าน ยกเว้นในรอบชิงชนะเลิศที่จะทำการแข่งขัน ณ สนามกลางที่ผู้จัดการแข่งขันเตรียมไว้ คือ สนามศุภชลาศัย เพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพการแข่งขันให้ได้มาตรฐานของ เอเอฟซี
ขณะเดียวกัน สรายุทธ มหวลีรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามสปอร์ตมีเดีย แมเนจเม้นท์ จำกัด เผยถึงรูปแบบการแข่งขันในฤดูกาล 2011 ว่า "จะเปิดสนามแข่งขันในรอบแรกตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 ไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งกำหนดการแข่งขันในรอบต่างๆ จะมีขึ้นภายหลังจากปิดรับสมัครทีมแข่งขัน แบ่งเป็น 7 รอบ ประกอบด้วย รอบแรก ทีมลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2, ถ้วย ข, ค, ง ที่สมัครเข้ามาจับสลากประกบคู่ แข่งขันให้เหลือ 18 ทีม, รอบสอง 18 ทีม ที่ผ่านจากรอบแรกประกบคู่กับ 18 ทีมดิวิชั่น 1 แข่งขันให้เหลือ 18 ทีม, รอบสาม 18 ทีม ที่ผ่านจากรอบสองแข่งขันกับ 18 ทีมไทยพรีเมียร์ลีก แข่งขันให้เหลือ 8 ทีม, รอบสี่ จาก 18 ทีม จะต้องมี 4 ทีมที่ลงแข่ง 2 ครั้ง จากการจับสลากประกบคู่ แข่งขันให้เหลือ 16 ทีม และน็อกเอาต์จนเหลือ 8 ทีม, รอบก่อนรองชนะเลิศ 8 ทีมสุดท้าย, รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ"
"สำหรับเงินรางวัลการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ จะได้รับเงินรางวัล 3 ล้านบาท พร้อมสิทธิ์เป็นตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลระดับสโมสรเอเชียในรายการ "เอเอฟซี คัพ (AFC Cup)" และร่วมแข่งขันในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ก. กับทีมแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลถัดไป, ทีมรองชนะเลิศ ได้รับเงิน 500,000 บาท นอกจากนี้ยังมีเงินรางวัลในแต่ละรอบของการแข่งขัน รวมมูลค่าเงินรางวัลตลอดการแข่งขันเป็นเงินทั้งสิ้น 5,500,000 บาท นอกจากนี้ ทุกทีมยังจะมีรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขันในทุกแมตช์อีกด้วย แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ทีมเจ้าบ้าน 70% และทีมเยือน 30% นอกเหนือจากเงินรางวัล ทางรถจักรยานยนต์ฮอนด้ายังเพิ่มรางวัลพิเศษในการแข่งขัน ในรอบสอง - รอบ 8 ทีม ให้แก่ นักฟุตบอลที่ยิงประตูได้เร็วที่สุด ได้รับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า รอบละ 1 คัน รวมจำนวน 4 คัน, รางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในรอบรองชนะเลิศ อีก 2 คัน ส่วนรอบชิงชนะเลิศ จะมีรางวัลสำหรับนักฟุตบอลยอดเยี่ยม, ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม และดาวซัลโวสูงสุด รวม 3 รางวัล"
นอกจากนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิไทยคม เปิดเผยถึงโครงการพิเศษว่า "เราได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบจากคลีนิคฟุตบอลที่อบรมให้กับเยาวชนทั่วไปเป็นกิจกรรมที่ต่อยอดและส่งเสริมให้เยาวชนไทยก้าวสู่การเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพในอนาคต ผ่านโครงการ "มูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ ฟุตบอลแคมป์ 2011" เพื่อคัดเลือกเยาวชนที่มีความโดดเด่นจำนวน 10 คน รับทุนการศึกษา มูลนิธิไทยคม ทุนละ 10,000 บาท /ปี จนจบปริญญาตรี โดยช่วงระหว่างการเข้าแคมป์จะเชิญโค้ชจากโรงเรียนชั้นนำ หรือโค้ชทีมสโมสรชั้นนำมาสังเกตการณ์เพื่อคัดเข้าทีม โดยมี อ.ชาญวิทย์ ผลชีวิน ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และอดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย เป็นหัวหน้าชุดคัดเลือกเยาวชนในโครงการ และมี อ.กวิน คเชนทร์เดชา ผู้ฝึกสอนทีมเยาวชนทีมชาติไทย ชุดอายุ 19 ปี เป็นผู้ช่วยคัดเลือกเยาวชนในโครงการ"
ทั้งนี้ "โค้ชหรั่ง" ชาญวิทย์ ผลชีวิน ในฐานะประธานคัดเลือกเยาวชนกล่าวถึงรูปแบบการคัดเลือกว่า "จัดการแข่งขันเพื่อคัดเลือกเยาวชนทั้ง 5 ภาคทั่วประเทศ ในรอบแรก แบ่งเป็น 6 ฐาน คือ ฐานที่ 1 กิจกรรม ยู แคน ดู อิท เป็นกิจกรรมบูรณาการระหว่างสาระวิชาการและสันทนาการ เพื่อให้เยาวชนได้รับความรู้เชิงพฤติกรรมของตนเอง และสนุกสนานกับกิจกรรมสันทนาการสลับกับการทำแบบทดสอบเชิงพฤติกรรม ส่วนใน ฐานที่ 2 - 5 จะเป็นการฝึกฝนทดสอบทักษะฟุตบอลต่างๆ อาทิ การเดาะบอล, การเลี้ยงบอล, การยิงประตู, การส่งบอล และฐานที่ 6 การเล่นเป็นทีม ให้เยาวชนเล่นในตำแหน่งที่ตนเองถนัด โดยดูเกณฑ์การเล่นเป็นทีม, ความสามารถเฉพาะตัว, ร่างกายและจิตใจ"
"โดยในรอบแรก 5 ภาค ได้แก่ กรุงเทพฯ และภาคตะวันออก คัดเลือกที่ จ.ชลบุรี, ภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี, ภาคกลาง จ.พิจิตร, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น และภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะทำการคัดเลือกเยาวชนจาก 200 คน/ภาค เหลือเพียง 10 คน/ภาค ที่สนามกีฬากลางของแต่ละจังหวัด ภาคละ 2 วัน ในวันเสาร์และอาทิตย์ ช่วงเดือนพฤษภาคม - กันยายน 2554 ส่วนในรอบสุดท้าย เป็นการฝึกทักษะฟุตบอลขั้นสูง โดยเยาวชนทั้ง 50 คน จาก 5 ภาค ต้องมาเก็บตัวและฝึกทักษะแบบเข้มข้นตลอด 5 วัน ที่มหาวิทยาลัยชินวัตร จ.ปทุมธานี เพื่อคัดเลือกเยาวชนนักเตะที่มีความสามารถที่ดีและมีฝีเท้าที่โดดเด่นที่สุด จำนวน 10 คน เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น"
ส่วนการเปิดรับสมัครภาคละ 200 คน จาก 5 ภาค คือ ภาคใต้, ภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคเหนือ, กรุงเทพฯ และภาคตะวันออก มีอายุระหว่าง 15-18 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย หรือระดับปวช. มีทักษะพื้นฐานทางด้านกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างดี มีคุณสมบัติเป็นนักกีฬาตัวแทนระดับเขตการศึกษา, จังหวัด, โรงเรียน โดยมีใบประกาศนียบัตรรับรอง หรือหนังสือรับรองจากสถานศึกษา สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0-2508-8275
