ชำแหละความล้มเหลว วิปโยคบอลไทยในซีเกมส์

การหลุดวงโคจรของทีมลูกหนังชายไทยในเวียงจันทน์เกมส์ ยังคงเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากการถูกโค่นบัลลังก์จ้าวซีเกมส์ 8 สมัยซ้อน, เสียสถิติไม่แพ้ใครในเวลา 90 นาทีนาน 53 นัดติดต่อกัน และตกรอบแรกเป็นหนแรกในรอบ 36 ปีนั้นถือเป็นความน่าผิดหวังอย่างยิ่งสำหรับคนทั้งชาติ

หากวิเคราะห์เหตุแห่งความล้มเหลวครั้งนี้พบว่ามีอยู่หลายปัจจัยทีเดียว ซึ่งถ้าพิจารณาจากสิ่งที่ปรากฏในสนามเป็นลำดับแรก ผู้ที่ถูกชี้เป้าก่อนใครเห็นทีจะหนีไม่พ้น “สตีฟ ดาร์บี” ผู้ช่วยของ ไบรอัน ร็อบสัน ในทีมชุดใหญ่ ซึ่งได้รับมอบหมายให้คุมทัพช้างศึกชุดนี้ โดยเริ่มตั้งแต่ตัวผู้เล่นที่เรียกมาติดธง ความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของโค้ชชาวอังกฤษอยู่ที่การใส่ “กองหน้า” และ “เซนเตอร์ฮาล์ฟ” ไว้เพียงตำแหน่งละ 3 คนเท่านั้น โดยในส่วนของนักล่าตาข่าย ลำพังแค่ ธีรศิลป์ แดงดา, สมปอง สอเหลบ กับ กีรติ เขียวสมบัติ ย่อมไม่เพียงพอในยามต้องการสกอร์ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างแน่นอน ยิ่ง “เจ้ามุ้ย” เจ็บข้อเท้าขวาตั้งแต่นัดแรกที่เสมอ เวียดนาม 1-1 จนลงเล่นไม่ได้อีกเลย ยิ่งทำให้ทางเลือกในแนวรุกถึงกับตีบตัน

ด้านปัญหาเรื่องปราการหลังตัวกลางก็แทบเป็นกรณีเดียวกับศูนย์หน้า เมื่อ เกียรติประวุฒิ สายแวว เดี้ยงเข่าซ้ายจากนัดที่ 2 ถล่ม กัมพูชา 4-0 ก็เหลือเพียง สุทธินันท์ พุกหอม กับ สุจริต จันทกล เท่านั้น ซึ่งหากเซนเตอร์ฮาล์ฟเจ็บพร้อมกัน 2 คน ก็ต้องถอยเอาคนที่ไม่ใช่กองหลังโดยธรรมชาติอย่าง อดุล หละโสะ หรือ เกรียงไกร พิมพ์รัตน์ ซึ่งเป็นมิดฟิลด์ตัวรับลงไปยืนแทน สรุปก็คือทีมชุดนี้ขาดความยืดหยุ่นในยามต้องปรับหมากนั่นเอง

พูดถึงเรื่องการแก้เกมแล้ว นี่ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งซึ่ง ดาร์บี โดนจวกยับว่ายังขาดกึ๋น ตัวอย่างที่ชัดที่สุดอยู่ในแมตช์ปราชัยต่อ มาเลเซีย 1-2 จนต้องม้วนเสื่อกลับบ้านด้วยความเจ็บปวด ซึ่ง เค.ราจาโกบาล นายใหญ่เสือเหลืองยังให้ทัศนะว่า “จังหวะที่ ไทย นำอยู่ 1-0 ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายควรส่งผู้เล่นตัวรับลงมาตัดเกมและคอยเก็บบอลครองบอลในแดนกลาง แต่เขากลับส่ง อภิภู สุนทรพนาเวศ ลงมาแทน อนาวิน จูจีน ซึ่งทั้งคู่เป็นนักเตะเกมรุกเหมือนกัน นั่นนับเป็นการตัดสินใจที่พลาดอย่างมหันต์ของ สตีฟ ดาร์บี”

การที่กุนซือเลือดผู้ดีทำงานเบื้องหน้าย่อมหนีไม่พ้นกับการเป็นแพะรับบาปในฐานะผู้มีอำนาจในการจัดทีม วางแผน เลือกตัวลงสู่สนาม กระนั้นต้นตอจริงๆ ที่ทำให้ ดาร์บี ทำงานยากน่าจะมาจากการล้วงลูกของผู้จัดการทีม “สามารถ มะลูลีม” ที่แนะนำให้ดึงนักเตะบางรายจากชุดเยาวชน 19 ปีซึ่งเคยดูแลมาก่อนเข้าสู่ทีมจนกลายเป็นว่าส่วนผสมทั้ง 20 คนของทัพซีเกมส์ขาดความสมดุลไป ซึ่งข้อสังเกตที่น่าสงสัยก็คือการมีชื่อผู้เล่นกองกลางมากถึง 8 คนจนเบียดบังโควตาของกองหน้าและกองหลัง

อีกฝ่ายที่ควรรับผิดชอบร่วมกันคือ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่วางแผนงานสำหรับการลุยศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 25 แบบชะล่าใจ ไม่เผื่อเวลาให้มีการเตรียมทีมล่วงหน้า เพื่อที่นักเตะจะได้คุ้นเคยกันมากขึ้นอันส่งผลต่อเนื่องมาถึงการเล่นอย่างเข้าขารู้ใจเวลาลงดวลแข้ง

ถ้าจะระบุให้ชัดเจนต้องบอกว่าการวางโปรแกรมฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก 2009 ซึ่งกระทบโดยตรงต่อการเตรียมทีม หากนายกสมาคมฯ “วรวีร์ มะกูดี” รวมถึงทีมงานดูปฏิทินล่วงหน้าก็ควรกำหนดให้ลีกสูงสุดเปิดฉากก่อนเดือนมีนาคม และช่วงพักเลกแรกก่อนเข้าสู่เลกสองก็ไม่ควรนานถึง 1 เดือน จนทำให้นักเตะชุดซีเกมส์มีเวลาเก็บตัวจำกัด เมื่อนักเตะไม่มีเวลาพักฟื้นสภาพร่างกายที่กรอบจากการกรำศึกหนักมายาวนาน ถึงคราวลงสนามจริงก็เห็นได้ชัดเลยว่าความฟิตของทัพช้างศึกสู้ เวียดนาม หรือ มาเลเซีย ไม่ได้ เมื่อเรี่ยวแรงไม่ดีก็ยากที่จะยืนระยะให้ถึง 90 นาทีจนกลายเป็นบ่อเกิดของการเสียประตูช่วงท้ายเกมให้กับแข้งเหงียนและเสือเหลืองในที่สุด

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่กลายเป็นอดีตสตาฟฟ์ทีมบอลชายชุดเวียงจันทน์เกมส์เรียบร้อยแล้วเปรียบเทียบให้เห็นการเก็บตัวของชาติอื่นๆ ว่า “นักเตะเรามีเวลาเก็บตัวร่วมกันน้อยเกินไป อย่าง ลาว เขาก็ใช้เวลา 6 เดือน เวียดนาม อยู่ด้วยกันเกือบ 1 ปี เมียนมาร์ ก็เก็บตัวนาน 2 ปี ขณะที่เราซ้อมร่วมกันจริงๆ จังๆ เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น หนำซ้ำนักเตะยังอ่อนล้ามาจากไทยลีกด้วย ซึ่งปัญหาทุกอย่างถือเป็นบทเรียนให้เรากลับไปแก้ไขว่าจะทำอย่างให้ดีขึ้นในคราวหน้า” ซึ่งจากนี้ไปทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องคงต้องทบทวนอย่างหนักควรรับผิดชอบอย่างไร หลังล่าสุดทีมหญิงก็เพิ่งชวดเหรียญทองเช่นกันจากการพ่าย เวียดนาม ในการดวลจุดโทษกลายเป็นวิบากกรรมซ้ำสองของความวิปโยคแห่งวงการลูกหนังไทย