ทีมข่าว MGR Sport จำนวน 5 ชีวิตข้ามน้ำโขงมาทำข่าว "ซีเกมส์" ครั้งที่ 25 ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวครบ 1 สัปดาห์แล้ว ขณะที่คณะนักกีฬาทยอยเคลื่อนทัพตามมาจนเกือบครบ โดยวันจันทร์ที่ผ่านมาเป็นคิวของนักกีฬาเทนนิส ยกน้ำหนัก ยิงปืน ว่ายน้ำ และมวยไทย ที่นั่งเรือบินการบินไทยลัดฟ้าสู่แดนลาวเป็นที่เรียบร้อย โดยในรายของ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม นักยิงปืนทีมชาติไทย ไม่รอช้ายิงมุกใส่กองทัพนักข่าวที่สนามบินวัดไตว่า "ผมมาแข่งขันยิงปืนครับ ไม่ได้มาคุมทีมอาร์วีไปฟุตบอลโลก" เท้าความไปถึงครั้งที่เจ้าตัวรับบทโค้ชทีมชาติอาร์วีในภาพยนตร์เรื่อง "หมากเตะโลกตะลึง" จากนั้นหันมาพูดจริงจังแบบเท่ๆ "เป้าหมายของผมคือการมุ่งมั่นทำชื่อเสียงให้ประเทศชาติด้วยใจจริง กระสุนของผมพุ่งตรงไม่มีอ้อม" แฟนกีฬาชาวไทยได้แต่หวังให้กระสุนมือปืนมาดเข้มพุ่งเข้าเป้าในสนามแข่งขันตามที่ลั่นวาจาไว้
เสร็จสิ้นภารกิจรับนักกีฬาที่สนามบินในช่วงบ่าย ผมมีโปรแกรมต่อไปชมการซ้อมใหญ่พิธีเปิดการแข่งขัน "เวียงจันทน์เกมส์" ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 9 ธันวาคม โดยอาศัยชัทเทิลบัสจากเพรสเซนเตอร์ต่อไปที่สนามกีฬาแห่งชาติ กม.16 ซึ่งตลอดทางได้รับความบันเทิงอย่างถึงที่สุดจากเหล่าอาสาสมัครชาวลาวที่จับไมค์ร้องคาราโอเกะจากจอทีวีในรถชนิดไม่อายใคร ส่วนใหญ่เป็นเพลงไทยของศิลปินสาววงเอเชีย และ อ้อย กะท้อน แนวเพื่อชีวิต
ฟังเพลงเพลินๆ รถคันใหญ่ขับผ่านถนน 450 ปี ซึ่งสร้างขึ้นในวาระที่กรุงเวียงจันทน์เตรียมฉลองครบรอบสี่ศตวรรษครึ่งในปี 2010 ลัดจากถนนสายหลักบริเวณ กม.9 มาถึง กม.16 กระทั่งผมและหมู่เฮามาถึงบริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งบรรยากาศรอบนอกเริ่มคึกคัก เหล่าอาสาสมัครและนักเรียนนักศึกษาที่เตรียมเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันแต่งตัวชุดเหมือนวันจริงเพื่อมาซ้อมใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายหลังจากเตรียมตัวกันมานาน 3 เดือนเต็ม โดยทุกคนพกอารมณ์เบิกบานพร้อมพกใบหน้ายิ้มแย้มมาด้วย และก็ไม่ลืมนำกล้องถ่ายรูปมาเก็บความทรงจำดีๆ ครั้งนี้เอาไว้
เมื่อถึงเวลาการซ้อมเริ่มขึ้นในเวลา 17.00น. ผมได้เข้าไปนั่งเป็นสักขีพยานภายในสเตเดียมพร้อมๆ กับประชาชนชาวลาวกว่า 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัครซึ่งในวันที่ 9 จะไม่ได้ชมพิธีเปิด เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบ อีกส่วนคือประชาชนชาวลาวซึ่งไม่มีตั๋วเข้าชมวันจริงหอบลูกจูงหลานเข้าสนามมาหลายครัวเรือน โดยภาพการซ้อมที่ออกมาสุดยอดเกินคำบรรยาย โดยเจ้าภาพมีการจุดไฟกระถางคบเพลิง เดินขบวนพาเหรดนักกีฬา แสดงศิลปะวัฒนธรรม และจุดดอกไม้ไฟเสมือนวันจริงทั้งหมด ทว่าไม่อนุญาตให้เก็บภาพในวันนี้ แต่แค่ได้มองด้วยสองตาผมเองต้องอ้าปากค้างในความระรานตาของการแสดงแสงสีเสียงในสนาม ชวนให้คิดว่าเมื่อวันเปิดการแข่งขันมาถึงจริงในอีก 2 วันจากนี้ ประชาคมโลกจะตื่นตาตื่นใจเพียงใด
หลังกลับออกจากสนามกีฬาแห่งชาติด้วยความประทับใจ ผมพยายามหารถชัทเทิลบัสกลับมาที่ศูนย์สื่อมวลชนซึ่งอยู่ห่างออกไป 9 กิโลเมตร ทว่าหาไม่พบเหลือเพียงรถบัสติดโลโก้ซีเกมส์จอดติดเครื่องอยู่เข้าใจว่าน่าจะเป็นรถนักกีฬาหรืออาสาสมัคร ผมจึงตัดสินใจก้าวขึ้นไปหวังขอติดรถกลับฐานบัญชาการแต่ถึงกับต้องชะงัก เมื่อมีเสียงหวานๆ จากสาวลาวถามมาว่า "ไปไสเจ้า?" หลังจากชายตามองไปรอบคันรถจึงพบว่าผมกำลังอยู่ท่ามกลาง"นางสาวซีเกมส์" กุลสตรีผู้งามพร้อมราว 10 ชีวิตที่เพิ่งเสร็จจากการฝึกซ้อมเชิญป้ายประเทศในพิธีเปิดการแข่งขัน โดยระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะยอมติดรถคันนี้หรือจะนั่งรถเมล์กลับสู่ที่หมาย สาวคนเดิมกล่าวด้วยความอ่อนโยนว่า "ถ้าอ้ายจะไปศูนย์นักข่าว ก็ไปกับพวกข้อยได้ บ่เป็นหยัง..." ตลอดทางผมได้แต่นั่งอมยิ้มพร้อมกับคิดในใจอยากให้ถึงที่หมายช้าสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะไม่อยากย่างเท้าลงจากรถบัสที่งามเลิศที่สุดในเวียงจันทน์เลย
เสร็จสิ้นภารกิจรับนักกีฬาที่สนามบินในช่วงบ่าย ผมมีโปรแกรมต่อไปชมการซ้อมใหญ่พิธีเปิดการแข่งขัน "เวียงจันทน์เกมส์" ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 9 ธันวาคม โดยอาศัยชัทเทิลบัสจากเพรสเซนเตอร์ต่อไปที่สนามกีฬาแห่งชาติ กม.16 ซึ่งตลอดทางได้รับความบันเทิงอย่างถึงที่สุดจากเหล่าอาสาสมัครชาวลาวที่จับไมค์ร้องคาราโอเกะจากจอทีวีในรถชนิดไม่อายใคร ส่วนใหญ่เป็นเพลงไทยของศิลปินสาววงเอเชีย และ อ้อย กะท้อน แนวเพื่อชีวิต
ฟังเพลงเพลินๆ รถคันใหญ่ขับผ่านถนน 450 ปี ซึ่งสร้างขึ้นในวาระที่กรุงเวียงจันทน์เตรียมฉลองครบรอบสี่ศตวรรษครึ่งในปี 2010 ลัดจากถนนสายหลักบริเวณ กม.9 มาถึง กม.16 กระทั่งผมและหมู่เฮามาถึงบริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งบรรยากาศรอบนอกเริ่มคึกคัก เหล่าอาสาสมัครและนักเรียนนักศึกษาที่เตรียมเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันแต่งตัวชุดเหมือนวันจริงเพื่อมาซ้อมใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายหลังจากเตรียมตัวกันมานาน 3 เดือนเต็ม โดยทุกคนพกอารมณ์เบิกบานพร้อมพกใบหน้ายิ้มแย้มมาด้วย และก็ไม่ลืมนำกล้องถ่ายรูปมาเก็บความทรงจำดีๆ ครั้งนี้เอาไว้
เมื่อถึงเวลาการซ้อมเริ่มขึ้นในเวลา 17.00น. ผมได้เข้าไปนั่งเป็นสักขีพยานภายในสเตเดียมพร้อมๆ กับประชาชนชาวลาวกว่า 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัครซึ่งในวันที่ 9 จะไม่ได้ชมพิธีเปิด เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบ อีกส่วนคือประชาชนชาวลาวซึ่งไม่มีตั๋วเข้าชมวันจริงหอบลูกจูงหลานเข้าสนามมาหลายครัวเรือน โดยภาพการซ้อมที่ออกมาสุดยอดเกินคำบรรยาย โดยเจ้าภาพมีการจุดไฟกระถางคบเพลิง เดินขบวนพาเหรดนักกีฬา แสดงศิลปะวัฒนธรรม และจุดดอกไม้ไฟเสมือนวันจริงทั้งหมด ทว่าไม่อนุญาตให้เก็บภาพในวันนี้ แต่แค่ได้มองด้วยสองตาผมเองต้องอ้าปากค้างในความระรานตาของการแสดงแสงสีเสียงในสนาม ชวนให้คิดว่าเมื่อวันเปิดการแข่งขันมาถึงจริงในอีก 2 วันจากนี้ ประชาคมโลกจะตื่นตาตื่นใจเพียงใด
หลังกลับออกจากสนามกีฬาแห่งชาติด้วยความประทับใจ ผมพยายามหารถชัทเทิลบัสกลับมาที่ศูนย์สื่อมวลชนซึ่งอยู่ห่างออกไป 9 กิโลเมตร ทว่าหาไม่พบเหลือเพียงรถบัสติดโลโก้ซีเกมส์จอดติดเครื่องอยู่เข้าใจว่าน่าจะเป็นรถนักกีฬาหรืออาสาสมัคร ผมจึงตัดสินใจก้าวขึ้นไปหวังขอติดรถกลับฐานบัญชาการแต่ถึงกับต้องชะงัก เมื่อมีเสียงหวานๆ จากสาวลาวถามมาว่า "ไปไสเจ้า?" หลังจากชายตามองไปรอบคันรถจึงพบว่าผมกำลังอยู่ท่ามกลาง"นางสาวซีเกมส์" กุลสตรีผู้งามพร้อมราว 10 ชีวิตที่เพิ่งเสร็จจากการฝึกซ้อมเชิญป้ายประเทศในพิธีเปิดการแข่งขัน โดยระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะยอมติดรถคันนี้หรือจะนั่งรถเมล์กลับสู่ที่หมาย สาวคนเดิมกล่าวด้วยความอ่อนโยนว่า "ถ้าอ้ายจะไปศูนย์นักข่าว ก็ไปกับพวกข้อยได้ บ่เป็นหยัง..." ตลอดทางผมได้แต่นั่งอมยิ้มพร้อมกับคิดในใจอยากให้ถึงที่หมายช้าสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะไม่อยากย่างเท้าลงจากรถบัสที่งามเลิศที่สุดในเวียงจันทน์เลย