ตั้งตารอมาร่วมอาทิตย์ ในที่สุดมหกรรมกีฬาแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "ซีเกมส์" ครั้งที่ 25 ก็เปิดฉากอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (9 ธ.ค.) หลังจาก พณฯท่าน จุมมะลี ไซยะสอน ประธานประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวกล่าวเปิดการแข่งขันต่อหน้าผู้ชมกว่า 20,000 คนในสนาม ก่อนที่ นาย พุดลำไพ เทียมพะสอน อดีตมือธนูทีมชาติจะสวมบท "สินไช" พระเอกหนุ่มในวรรณคดีแดนล้านช้างแผลงศรจุดไฟในกระถางคบเพลิงสนามกีฬาแห่งชาติ กม.16 จนลุกโชติช่วงชัชวาล และจะยังคงส่องสว่างเช่นนี้ไปถึงวันปิดการแข่งขัน 18 ธันวาคมนี้
อย่างไรก็ตาม พิธีเปิดการแข่งขันครั้งนี้ทำให้สื่อน้อยใหญ่ทั้งไทยและเทศเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เมื่อฝ่ายจัดการแข่งขันไม่อนุญาตให้เข้าสนามแม้จะมีบัตรนักข่าว มีเพียงโควตาที่กำหนดให้ชาติละไม่กี่สิบใบ ส่วนใครไม่ได้รับโควตาและอยากเข้าชมก็ต้องซื้อตั๋วเสมือนหนึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่ง ซึ่งสื่อต่างชาติบางสำนักใช้วิธียืม "ไอดีการ์ด" ของนักกีฬาที่ตัดสินใจไม่ร่วมพิธีเปิดสวมรอยเข้าสนามแทน ส่วนทีมข่าว MGR Sport ตัดสินใจเล่นในระบบด้วยการซื้อตั๋วต่อจากเพื่อนบ้านชาวลาว เพียงแต่ต้องจ่ายเงินแพงขึ้นเป็นค่าเสียโอกาส จากตั๋วราคา 1,600 บาท เราต้องควักกระเป๋าจ่ายไป 2,500 บาท โดยผมรับหน้าที่ถือตั๋วเข้าสนามกีฬาแห่งชาติรายงานข่าวกลับสู่กองบรรณาธิการ ขณะที่ช่างภาพคู่ใจได้รับการอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ใจดี "บิ้กแนต" ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ หนึ่งในมนตรีซีเกมส์ของไทยมอบตั๋วราคา 500,000 กีบ (2,000 บาท) ให้เข้าไปเก็บภาพสวยๆมาฝากแฟนๆ
หากไม่นับเรื่องการไล่ล่าตั๋วที่สุดแสนทุลักทุเลของเหล่านักข่าว พิธีเปิดการแข่งขัน "เวียงจันทน์เกมส์" ถือว่าสมบูรณ์แบบ พี่น้องชาวลาวมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผมเดินทางถึงศูนย์กีฬาแห่งชาติในเวลาห้าโมงเย็น สังเกตเห็นคณะนักกีฬา 10 ชาติอาเซียน และ ติมอร์ เลสเต กำลังตั้งแถวด้านนอก เมน สเตเดียม เพื่อเตรียมพาเหรดเข้าสนาม โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น นักเรียนนักศึกษาที่เตรียมเข้าร่วมการแสดงพร้อมด้วยประชาชนชาวลาวกล่าวคำทักทายต่อแขกผู้มาเยือนว่า "สะบายดี" เกิดเป็นภาพของรอยยิ้มนับพันอบอวนทั่วบริเวณ นักกีฬาบางคนปลื้มใจในการต้อนรับของเจ้าภาพ ถึงกับถอด "พิน" (เข็มกลัด) จากเสื้อตนเองมอบให้เป็นการตอบแทน
หลังจากเข้ามาอยู่ภายในสนาม ผมสังเกตเห็นผู้ชมบางส่วนเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ขณะที่ส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก ด้านวัยรุ่นหน้าใสที่พบเห็นมาตลอดในเกมฟุตบอลชายสองแมตช์ที่เจ้าภาพลงสนามเข้ามาเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดมีไม่มากนัก โดยคุณ สอนทะวี อุดินาสัด ที่หอบภรรยาและลูกรวม 6 ชีวิตเข้ามาชมงานเปิด "ซีเกมส์" หนแรกบนแผ่นดินเกิดเผยว่า "ซื้อตั๋วล่วงหน้ามาเดือนเศษแล้ว เพราะกลัวจะพลาดประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต โดยผมซื้อตั๋วใบละ 400,000 กีบ(1,600 บาท)จำนวน 6 ใบเพื่อมาดูกันทั้งครอบครัว ให้ลูกๆของผมได้ร่วมภาคภูมิใจในความเป็นลาว"
เชื่อว่าเงินที่คุณ สอนทะวี จ่ายเป็นค่าตั๋ว 6 ใบนั้นคุ้มค่ามาก เพราะตลอดเวลาร่วม 2 ชั่วโมงของพิธีเปิดการแข่งขัน ผมสังเกตเห็นแต่ใบหน้าเบิกบานใจของผู้ชมชาวลาวในสนามแสดงออกถึงความรู้สึกภูมิใจและดีใจที่บ้านเกิดเมืองนอนได้เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับภูมิภาค การแสดงแต่ละชุดสะท้อนถึงเอกลักษณ์ความเป็นชาติทั้งในเรื่องของการเกษตรกรรม ธรรมชาติ และ ศาสนา โดยแฟนในสนามปรบมือตามจังหวะและชื่นชมการแสดงด้วยความปลื้มปีติตั้งแต่ต้นจนจบ
ด้าน นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ของประเทศไทยซึ่งบินมาร่วมพิธีเปิดครั้งนี้ด้วยได้รับเสียงปรบมือจากแฟนๆ ชาวลาวทุกครั้งที่ภาพของท่านถูกฉายขึ้นจอโปรเจกเตอร์ยักษ์ในสนาม โดย คุณ ดารา ซึ่งนั่งข้างผมบริเวณอัฒจันทร์ฝั่งกระถางคบเพลิง กล่าวว่า "คนลาวชอบนายกฯ อภิสิทธิ์ เพราะยิ้มสวยและหน้าตาหล่อดี" ซึ่งหลังเช็คคะแนนนิยมนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว "นายกฯ มาร์ค" แผลงศรพิชิตใจนักกีฬาไทยก่อนเดินทางกลับว่า "ขออวยพรให้ทุกคนกินดีอยู่ดีไปตลอดช่วงที่อยู่ในลาว โดยผมจะติดตามผลการแข่งขันของพวกคุณตลอด และก็หวังว่าจะได้ยินข่าวดี (คว้าเหรียญรางวัล) จากพวกเราในทุกๆ วัน"
อย่างไรก็ตาม พิธีเปิดการแข่งขันครั้งนี้ทำให้สื่อน้อยใหญ่ทั้งไทยและเทศเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เมื่อฝ่ายจัดการแข่งขันไม่อนุญาตให้เข้าสนามแม้จะมีบัตรนักข่าว มีเพียงโควตาที่กำหนดให้ชาติละไม่กี่สิบใบ ส่วนใครไม่ได้รับโควตาและอยากเข้าชมก็ต้องซื้อตั๋วเสมือนหนึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่ง ซึ่งสื่อต่างชาติบางสำนักใช้วิธียืม "ไอดีการ์ด" ของนักกีฬาที่ตัดสินใจไม่ร่วมพิธีเปิดสวมรอยเข้าสนามแทน ส่วนทีมข่าว MGR Sport ตัดสินใจเล่นในระบบด้วยการซื้อตั๋วต่อจากเพื่อนบ้านชาวลาว เพียงแต่ต้องจ่ายเงินแพงขึ้นเป็นค่าเสียโอกาส จากตั๋วราคา 1,600 บาท เราต้องควักกระเป๋าจ่ายไป 2,500 บาท โดยผมรับหน้าที่ถือตั๋วเข้าสนามกีฬาแห่งชาติรายงานข่าวกลับสู่กองบรรณาธิการ ขณะที่ช่างภาพคู่ใจได้รับการอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ใจดี "บิ้กแนต" ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ หนึ่งในมนตรีซีเกมส์ของไทยมอบตั๋วราคา 500,000 กีบ (2,000 บาท) ให้เข้าไปเก็บภาพสวยๆมาฝากแฟนๆ
หากไม่นับเรื่องการไล่ล่าตั๋วที่สุดแสนทุลักทุเลของเหล่านักข่าว พิธีเปิดการแข่งขัน "เวียงจันทน์เกมส์" ถือว่าสมบูรณ์แบบ พี่น้องชาวลาวมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผมเดินทางถึงศูนย์กีฬาแห่งชาติในเวลาห้าโมงเย็น สังเกตเห็นคณะนักกีฬา 10 ชาติอาเซียน และ ติมอร์ เลสเต กำลังตั้งแถวด้านนอก เมน สเตเดียม เพื่อเตรียมพาเหรดเข้าสนาม โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น นักเรียนนักศึกษาที่เตรียมเข้าร่วมการแสดงพร้อมด้วยประชาชนชาวลาวกล่าวคำทักทายต่อแขกผู้มาเยือนว่า "สะบายดี" เกิดเป็นภาพของรอยยิ้มนับพันอบอวนทั่วบริเวณ นักกีฬาบางคนปลื้มใจในการต้อนรับของเจ้าภาพ ถึงกับถอด "พิน" (เข็มกลัด) จากเสื้อตนเองมอบให้เป็นการตอบแทน
หลังจากเข้ามาอยู่ภายในสนาม ผมสังเกตเห็นผู้ชมบางส่วนเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ขณะที่ส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก ด้านวัยรุ่นหน้าใสที่พบเห็นมาตลอดในเกมฟุตบอลชายสองแมตช์ที่เจ้าภาพลงสนามเข้ามาเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดมีไม่มากนัก โดยคุณ สอนทะวี อุดินาสัด ที่หอบภรรยาและลูกรวม 6 ชีวิตเข้ามาชมงานเปิด "ซีเกมส์" หนแรกบนแผ่นดินเกิดเผยว่า "ซื้อตั๋วล่วงหน้ามาเดือนเศษแล้ว เพราะกลัวจะพลาดประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต โดยผมซื้อตั๋วใบละ 400,000 กีบ(1,600 บาท)จำนวน 6 ใบเพื่อมาดูกันทั้งครอบครัว ให้ลูกๆของผมได้ร่วมภาคภูมิใจในความเป็นลาว"
เชื่อว่าเงินที่คุณ สอนทะวี จ่ายเป็นค่าตั๋ว 6 ใบนั้นคุ้มค่ามาก เพราะตลอดเวลาร่วม 2 ชั่วโมงของพิธีเปิดการแข่งขัน ผมสังเกตเห็นแต่ใบหน้าเบิกบานใจของผู้ชมชาวลาวในสนามแสดงออกถึงความรู้สึกภูมิใจและดีใจที่บ้านเกิดเมืองนอนได้เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับภูมิภาค การแสดงแต่ละชุดสะท้อนถึงเอกลักษณ์ความเป็นชาติทั้งในเรื่องของการเกษตรกรรม ธรรมชาติ และ ศาสนา โดยแฟนในสนามปรบมือตามจังหวะและชื่นชมการแสดงด้วยความปลื้มปีติตั้งแต่ต้นจนจบ
ด้าน นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ของประเทศไทยซึ่งบินมาร่วมพิธีเปิดครั้งนี้ด้วยได้รับเสียงปรบมือจากแฟนๆ ชาวลาวทุกครั้งที่ภาพของท่านถูกฉายขึ้นจอโปรเจกเตอร์ยักษ์ในสนาม โดย คุณ ดารา ซึ่งนั่งข้างผมบริเวณอัฒจันทร์ฝั่งกระถางคบเพลิง กล่าวว่า "คนลาวชอบนายกฯ อภิสิทธิ์ เพราะยิ้มสวยและหน้าตาหล่อดี" ซึ่งหลังเช็คคะแนนนิยมนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว "นายกฯ มาร์ค" แผลงศรพิชิตใจนักกีฬาไทยก่อนเดินทางกลับว่า "ขออวยพรให้ทุกคนกินดีอยู่ดีไปตลอดช่วงที่อยู่ในลาว โดยผมจะติดตามผลการแข่งขันของพวกคุณตลอด และก็หวังว่าจะได้ยินข่าวดี (คว้าเหรียญรางวัล) จากพวกเราในทุกๆ วัน"
