เข้าสู่วันที่สองแล้วที่ผมพร้อมด้วยทีมข่าว MGR Sport เดินทางมาปักหลักยังกรุงเวียงจันทน์ เพื่อภารกิจรายงานข่าวกีฬา "ซีเกมส์" ครั้งที่ 25 ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แม้ชีวิตความเป็นอยู่ของหมู่เฮาสื่อมวลชนไทยเริ่มเข้าที่เข้าทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อาหารการกิน ที่พัก และการเดินทาง มิหนำซ้ำความ "อิ่มเอมใจ" ยังพอกพูนมากขึ้นเป็นลำดับ
หลังต้องเดินซึมออกจากสนามกีฬาแห่งชาติจากการเห็นแข้งทีมชาติไทยโดนพิษจุดโทษ เวียดนาม ตามตีเสมอ 1-1 ในนาทีสุดท้ายเมื่อคืนวาน ล่าสุดเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเดินทางไปที่สนามที่กม.16 อีกครั้ง เริ่มที่การเดินสำรวจคอร์ตเทนนิสใหม่แกะกล่อง 7 สนาม พบว่าเวลานี้พร้อมรับจอมหวดจากชาติอาเซียนเรียบร้อยแล้ว เมื่อขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข้าไปเยี่ยมชมภายในเซนเตอร์คอร์ต ได้เห็นความพร้อมของเหล่าอาสาสมัครที่กำลังติวเข้มกับการอำนวยความสะดวกผู้มาเยือนอย่างตั้งอกตั้งใจ
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่โรงยิมเนเซียมสำหรับการแข่งขันตีดอก (แบดมินตัน) ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน เห็นนักกีฬารายหนึ่งเดินแบกกระเป๋าเข้าไปด้านใน จึงสอดแนมตามเข้าไปสอบถามพบว่าหนุ่มร่างบางคือ สะเถียน มวนวงสา นักตบลูกขนไก่มือ 1 ของแดนล้านช้าง ซึ่งมีโปรแกรมลงดวลชายเดี่ยวรอบแรกพบกับ "เจ้าสอง" ทนงศักดิ์ แสนสมบูรณ์สุข เดี่ยวมือ 2 ของไทย หลังนั่งสนทนาอย่างเป็นกันเองจึงได้รู้ว่านอกจากเคยได้รองแชมป์ อุดรฯ โอเพน ที่ อุดรธานี แล้ว สะเถียน ยังเคยเข้ามาแข่งขันที่กรุงเทพมหานครหลายต่อหลายครั้ง ทำให้คุ้นเคยกับนักกีฬาไทยเป็นอย่างดี อีกทั้งยังชื่นชม บุญศักดิ์ พลสนะ ว่าเป็นสตาร์ยอดนิยมและมีฝีมือฉกาจ ทว่ายอมรับเสียดายที่ยังไม่เคยคุยด้วยสักที เพราะไม่มีคนแนะนำ อ้าว "พี่แมน" ได้ยินแล้ว ถึงเวียงจันทน์ เดินเข้าไปทักน้องเขาหน่อย รับประกันไม่ผิดหวังกับมิตรภาพและรอยยิ้มจากหนุ่มลาวคนนี้
ออกจากคอร์ตแบดมินตัน ผมต่อไปที่สระว่ายน้ำเพื่อชมการซ้อมของนักบันลอยน้ำ (โปโลน้ำ) ทีมชาติไทย ซึ่งยังไม่ทันเข้าไปด้านในก็ได้ยินเสียงประกาศผ่านลำโพงว่า "ขอต้อนรับทีมชาติอินโดนีเซีย เข้าสู่สนาม และขอให้ผู้ชมยืนขึ้นเป็นเกียรติแก่เพลงชาติอินโดนีเซีย" ทำเอาสื่อตัวน้อยอย่างผมถึงกับผงะพร้อมคิดในใจ "แย่แล้วเราเช็คมาว่าโปโลน้ำแข่งวันที่ 5 ธ.ค. ทำไมมาแข่งเอาวันนี้" ทว่าพอข้ามพ้นแนวอัฒจันทร์เข้าไปภายในถึงได้โล่งใจ พบว่าโฆษกสนามชาวลาวกำลังซักซ้อมการใช้เสียงทั้งภาษาลาวและอังกฤษเอาให้เหมือนวันแข่งขันจริงกันทุกรายละเอียด จากนั้นก็นั่งชมการซ้อมของทีมโปโลน้ำไทย และก็ได้คำมั่นจากโค้ช พิเนต ฤกษ์เกษม รวมถึงลูกทีมว่าจะสู้สุดใจเพื่อประเดิมเหรียญรางวัลแรกมาฝากแฟนๆ ให้จงได้
ตกเย็นภารกิจเลาะรั้วสนามกีฬาแห่งชาติ กม.16 ประจำวันเป็นอันเสร็จสิ้นลง ถึงเวลาที่ผมต้องกลับมารายงานข่าวที่ศูนย์สื่อมวลชนซึ่งอยู่ห่างจากสนามกีฬาแห่งชาติสิบกว่ากิโลเมตร แต่เนื่องด้วยพระอาทิตย์คล้อยต่ำประกอบกับรถชัตเติลบัสรับ-ส่งสื่อมวลชน ยังไม่เปิดบริการเต็มเส้นทาง กอปรกับสามล้อไม่สามารถแล่นเข้ามาบริเวณสนามกีฬาได้ ทำให้วิธีเดียวในการกลับสู่ตัวเมืองคือ การโบกรถสองแถวซึ่งมีค่าบริการไม่ต่ำกว่าคนละ 100 บาท ทว่าระหว่างยืนรอเรียกรถ ได้ยินเสียงตะโกนมาจากรถหกล้อคันหนึ่งเป็นภาษาถิ่นว่า "ไปไหนกัน เจ้า?" ผมเลยตอบคุณลุงคนขับรถคันดังกล่าวว่า "เข้าเมืองครับ" ได้รับเสียงตอบรับพร้อมบอกให้ "ขึ้นมา"
นั่งอยู่กระบะหลังตากลมยามเย็นราว 10 นาที ตัวผมมาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ด้วยมารยาทและความประทับใจทำให้ผมไม่ลืมกล่าว "ขอบใจมากครับ" แม้ไม่มีการตอบรับกลับมาเป็นคำพูด แต่แค่รอยยิ้มและการโบกมือให้เป็นการทิ้งท้าย ผมก็รู้สึกได้แล้วว่านี่คือ "มิตรภาพ" ที่สัมผัสได้จริงจากชาวลาว
หลังต้องเดินซึมออกจากสนามกีฬาแห่งชาติจากการเห็นแข้งทีมชาติไทยโดนพิษจุดโทษ เวียดนาม ตามตีเสมอ 1-1 ในนาทีสุดท้ายเมื่อคืนวาน ล่าสุดเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเดินทางไปที่สนามที่กม.16 อีกครั้ง เริ่มที่การเดินสำรวจคอร์ตเทนนิสใหม่แกะกล่อง 7 สนาม พบว่าเวลานี้พร้อมรับจอมหวดจากชาติอาเซียนเรียบร้อยแล้ว เมื่อขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข้าไปเยี่ยมชมภายในเซนเตอร์คอร์ต ได้เห็นความพร้อมของเหล่าอาสาสมัครที่กำลังติวเข้มกับการอำนวยความสะดวกผู้มาเยือนอย่างตั้งอกตั้งใจ
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่โรงยิมเนเซียมสำหรับการแข่งขันตีดอก (แบดมินตัน) ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน เห็นนักกีฬารายหนึ่งเดินแบกกระเป๋าเข้าไปด้านใน จึงสอดแนมตามเข้าไปสอบถามพบว่าหนุ่มร่างบางคือ สะเถียน มวนวงสา นักตบลูกขนไก่มือ 1 ของแดนล้านช้าง ซึ่งมีโปรแกรมลงดวลชายเดี่ยวรอบแรกพบกับ "เจ้าสอง" ทนงศักดิ์ แสนสมบูรณ์สุข เดี่ยวมือ 2 ของไทย หลังนั่งสนทนาอย่างเป็นกันเองจึงได้รู้ว่านอกจากเคยได้รองแชมป์ อุดรฯ โอเพน ที่ อุดรธานี แล้ว สะเถียน ยังเคยเข้ามาแข่งขันที่กรุงเทพมหานครหลายต่อหลายครั้ง ทำให้คุ้นเคยกับนักกีฬาไทยเป็นอย่างดี อีกทั้งยังชื่นชม บุญศักดิ์ พลสนะ ว่าเป็นสตาร์ยอดนิยมและมีฝีมือฉกาจ ทว่ายอมรับเสียดายที่ยังไม่เคยคุยด้วยสักที เพราะไม่มีคนแนะนำ อ้าว "พี่แมน" ได้ยินแล้ว ถึงเวียงจันทน์ เดินเข้าไปทักน้องเขาหน่อย รับประกันไม่ผิดหวังกับมิตรภาพและรอยยิ้มจากหนุ่มลาวคนนี้
ออกจากคอร์ตแบดมินตัน ผมต่อไปที่สระว่ายน้ำเพื่อชมการซ้อมของนักบันลอยน้ำ (โปโลน้ำ) ทีมชาติไทย ซึ่งยังไม่ทันเข้าไปด้านในก็ได้ยินเสียงประกาศผ่านลำโพงว่า "ขอต้อนรับทีมชาติอินโดนีเซีย เข้าสู่สนาม และขอให้ผู้ชมยืนขึ้นเป็นเกียรติแก่เพลงชาติอินโดนีเซีย" ทำเอาสื่อตัวน้อยอย่างผมถึงกับผงะพร้อมคิดในใจ "แย่แล้วเราเช็คมาว่าโปโลน้ำแข่งวันที่ 5 ธ.ค. ทำไมมาแข่งเอาวันนี้" ทว่าพอข้ามพ้นแนวอัฒจันทร์เข้าไปภายในถึงได้โล่งใจ พบว่าโฆษกสนามชาวลาวกำลังซักซ้อมการใช้เสียงทั้งภาษาลาวและอังกฤษเอาให้เหมือนวันแข่งขันจริงกันทุกรายละเอียด จากนั้นก็นั่งชมการซ้อมของทีมโปโลน้ำไทย และก็ได้คำมั่นจากโค้ช พิเนต ฤกษ์เกษม รวมถึงลูกทีมว่าจะสู้สุดใจเพื่อประเดิมเหรียญรางวัลแรกมาฝากแฟนๆ ให้จงได้
ตกเย็นภารกิจเลาะรั้วสนามกีฬาแห่งชาติ กม.16 ประจำวันเป็นอันเสร็จสิ้นลง ถึงเวลาที่ผมต้องกลับมารายงานข่าวที่ศูนย์สื่อมวลชนซึ่งอยู่ห่างจากสนามกีฬาแห่งชาติสิบกว่ากิโลเมตร แต่เนื่องด้วยพระอาทิตย์คล้อยต่ำประกอบกับรถชัตเติลบัสรับ-ส่งสื่อมวลชน ยังไม่เปิดบริการเต็มเส้นทาง กอปรกับสามล้อไม่สามารถแล่นเข้ามาบริเวณสนามกีฬาได้ ทำให้วิธีเดียวในการกลับสู่ตัวเมืองคือ การโบกรถสองแถวซึ่งมีค่าบริการไม่ต่ำกว่าคนละ 100 บาท ทว่าระหว่างยืนรอเรียกรถ ได้ยินเสียงตะโกนมาจากรถหกล้อคันหนึ่งเป็นภาษาถิ่นว่า "ไปไหนกัน เจ้า?" ผมเลยตอบคุณลุงคนขับรถคันดังกล่าวว่า "เข้าเมืองครับ" ได้รับเสียงตอบรับพร้อมบอกให้ "ขึ้นมา"
นั่งอยู่กระบะหลังตากลมยามเย็นราว 10 นาที ตัวผมมาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ด้วยมารยาทและความประทับใจทำให้ผมไม่ลืมกล่าว "ขอบใจมากครับ" แม้ไม่มีการตอบรับกลับมาเป็นคำพูด แต่แค่รอยยิ้มและการโบกมือให้เป็นการทิ้งท้าย ผมก็รู้สึกได้แล้วว่านี่คือ "มิตรภาพ" ที่สัมผัสได้จริงจากชาวลาว