ทันทีที่ แอนดี รอดดิก ยิงลูกโฟร์แฮนด์ล้นท้ายคอร์ตในเกมที่ 30 ของเซตตัดสิน รอบชิงชนะเลิศ "วิมเบิลดัน 2009" วินาทีนั้น โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ กระโดดดีใจสุดตัวกับตำแหน่งแชมป์ ณ สังเวียน ออล อิงแลนด์ เป็นสมัยที่ 6 ในรอบ 7 ปีหลังสุด ซึ่งห้วงเวลาเดียวกันบนอัฒจันทร์ด้านใต้ที่ประทับภายใน เซนเตอร์ คอร์ต ตำนานสักหลาดยุคเก่าอย่าง รอด เลเวอร์ มาจนถึงยุค "โอเพ่น" อาทิ บียอร์น บอร์ก และ พีต แซมพราส ลุกขึ้นปรบมือเป็นเกียรติและร่วมเป็นสักขีพยานในความสำเร็จสูงสุด 15 แชมป์แกรนด์สแลมของ "เฟดเอ็กซ์" ซึ่งนอกจากเป็นการตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของหวดเทพผู้นี้แล้วยังมีผลส่งให้เขากลับไปครองบัลลังก์มือ 1 ของโลกเป็นคำรบที่ 2
นับตั้งแต่ "คู่แค้นฟ้าลิขิต" ราฟาเอล นาดาล เจ็บเข่าไม่สามารถเดินทางมาป้องกันแชมป์ได้ เฟเดอเรอร์ อดีตมือ 1 โลก 237 สัปดาห์ถูกยกเป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์แกรนด์สแลมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งตลอดเส้นทางก่อนถึงรอบชิงชนะเลิศ "เฟดเอ็กซ์" โชว์ฟอร์มสมราคาพลาดเสียเซตให้กับ ฟิลลิป โคห์ลชไรเบอร์ จากเยอรมนีในรอบ 3 เพียงแค่ครั้งเดียวก่อนทะลุมาเอาชนะ แอนดี รอดดิก มือ 6 ของรายการในวันสุดท้ายของ วิมเบิลดัน เป็นครั้งที่ 3 ต่อจากปี 2004 และ 2005 ด้วยสกอร์ 3-2 เซต โดยทำสถิตเสิร์ฟเอซได้ถึง 50 ลูกและยิงวินเนอร์ถึง 107 ครั้ง หากในทางตรงกันข้ามอาศัยสายตาและสัมผัสยอดเยี่ยมจำกัดจำนวนเอซของ "จอมเสิร์ฟหนัก" ให้เหลือแค่ 27 ลูก
ถึงแม้จะเสียใจจนเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่ รอดดิก วัย 26 ปีซึ่งกลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้งนับตั้งแต่คว้าแชมป์ ยูเอส โอเพน 2003 ยังออกมายอมรับว่า เฟเดอเรอร์ คือแชมเปียนตัวจริงของโลกเทนนิส พร้อมกันนี้ "เอ-ร็อด" ได้ปล่อยมุกตลกไปถึง พีต แซมพราส รุ่นพี่ร่วมชาติซึ่งอยู่บนอัฒจันทร์ว่า "ผมขอโทษจากใจ พีต ที่ผมไม่สามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้"
หากย้อนกลับไปในปี 2002 แซมพราส ชูถ้วยแชมป์ ยูเอส โอเพน ณ ฟลัชชิง เมโดว์ นครนิวยอร์ก อันเป็นสถิติแชมป์แกรนด์สแลมสูงสุด14 สมัย ในเวลานั้นน้อยคนจะคาดคิดว่าสถิติอันสูงส่งนี้จะถูกทำลายเพียงแค่ 7 ปีให้หลังด้วยฝีมือของ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ หนุ่มจากเมืองบาเซิลซึ่งเมื่อครั้งเล่นเยาวชนเป็นคนเจ้าอารมณ์และมีปัญหาด้านโภชนาการเนื่องจากเป็น "มังสวิรัติ" มาจนถึงอายุ 15 ปี
นับเป็นผลงาน "เหลือเชื่อ" แม้กระทั่ง "เฟดเอ็กซ์" ยังออกมากล่าวอย่างปลื้มปีติหลังรับถ้วยแชมป์ชายเดี่ยว วิมเบิลดัน ใบที่ 6 จาก ดยุ๊ก ออฟ เคนต์ ว่า "สมัยเป็นเด็กผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะสร้างความสำเร็จในวงการเทนนิสได้มากมายขนาดนี้ มันเหมือนเป็นการหมุนกงล้อของเวลากลับมาอีกครั้งหลังจากผมได้แชมป์
แกรนด์สแลมแรกในปี 2003 ทว่าครั้งนี้พิเศษกว่าเดิมตรงที่มีเหล่าตำนานเทนนิสซึ่งล้วนแต่เป็นที่นับถือของผมมานั่งอยู่ในสนาม โดยเฉพาะ พีต แซมพราส ซึ่งต้องลำบากนั่งเครื่องบินมาจากสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังมาตามคำสัญญาที่เคยให้กับผมไว้"
หลังฟังถ้อยคำของตำนานรุ่นน้อง แซมพราส วัย 37 ปีซึ่งกลับมาเยือน ศูนย์เทนนิส ออล อิงแลนด์ SW19 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ออกมากล่าวทั้งใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า "โรเจอร์ นำพรสวรรค์ประสานกับการทำงานอย่างหนักกวาดแชมป์มาหมดแล้วทุกรายการในระดับเมเจอร์ กระทั่งทำสถิติเป็นแชมป์ 15 แกรนด์สแลมในวันนี้ เขาจึงเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในความคิดของผมอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งผมเชื่อว่าใน 2-3 ปีข้างหน้าหากรักษาความมุ่งมั่นและสุขภาพที่ดีเอาไว้ได้เขายังสามารถทำเพิ่มได้อีกอย่างต่ำ 2-3 สแลม"
คำกล่าวของตำนานชาวอเมริกันสอดคล้องกับแนวคิดซึ่ง เฟดเอ็กซ์ เผยออกมาหลังคว้าแชมป์ เฟรนช์ โอเพน เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาต่อหน้า เมียร์กา วาฟริเนก ภรรยาซึ่งเตรียมให้กำเนิดลูกคนแรกของทั้งคู่ในเดือนสิงหาคมนี้ว่า "ความใฝ่ฝันที่ผมและ เมียร์กา มีมาตลอดคือการได้เห็นลูกของเราดูผมประสบความสำเร็จในการเล่นเทนนิส ดังนั้นผมจึงอยากเล่นต่อไปอีกนานหลายปี ซึ่ง โอลิมปิก ลอนดอนเกมส์ 2012 คือเป้าหมายใหญ่สำหรับผม"
สไตล์การเล่นที่เน้นการตี "ไรซิง บอล" (ตีลูกจังหวะกระดอนขึ้น) รวมถึงถนัดวางทางลูกเสิร์ฟมากกว่าการใช้ความรุนแรงส่งผลให้สภาพร่างกายของ เฟเดอเรอร์ สมบูรณ์กว่า เลย์ตัน ฮิววิตต์ นักหวดรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งเน้นการวิ่งสู้ฟัดจนมีปัญหาเจ็บสะโพก รวมไปถึง "คู่แค้น" ซึ่งเด็กกว่าถึง 4 ปีอย่าง ราฟาเอล นาดาล ที่ประสบปัญหาเอ็นสะบ้าหัวเข่าอักเสบเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 3 ปี ดังนั้น "เฟดเอ็กซ์" ซึ่งจะมีอายุครบ 28 ปีในเดือนสิงหาคมนี้จึงน่ามีโอกาสล่าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มเติมได้อีก 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย แต่หากรักษาสภาพร่างกายให้ดีเชื่อว่าแร็กเกตเทพชาวสวิสยังมีโอกาสลุ้นแชมป์แกรนด์สแลมได้ต่อเนื่องไปอีก 5-6 ปีเหมือนเมื่อครั้ง อังเดร อากัสซี อีกหนึ่งตำนานอเมริกันคว้าแชมป์ ออสเตรเลียน โอเพน 2003 ด้วยวัย 33 ปี
สำหรับปลายเดือนสิงหาคมนี้ เฟเดอเรอร์ จะกลับไปที่ “บิ๊ก แอปเปิล” มหานครนิวยอร์ก ในฐานะมือ 1 ของโลกเพื่อสานภารกิจล่าแชมป์ ยูเอส โอเพน เป็นสมัยที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งหาก นาดาล ไม่สามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้ทันเวลา รวมถึง “รองแชมป์เก่า”แอนดี เมอร์เรย์ และ แอนดี รอดดิก ยังยกระดับเกมการเล่นให้ดีกว่าที่แล้วมาไม่ได้ เชื่อว่าแฟนสักหลาดทั่วโลกน่าจะได้เห็น “เฟดเอ็กซ์” ซึ่งกำลังฟอร์มร้อนแรงผงาดคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 16 มาครองได้อย่างแน่นอน