คราบน้ำตาแห่งชัยชนะของ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ หลังคว้าแชมป์ เฟรนช์ โอเพน มาครองได้เป็นสมัยแรกพร้อมทำสถิติเป็นแชมป์แกรนด์สแลม 14 สมัยเทียบเท่าตำนานรุ่นพี่อย่าง พีต แซมพราส ยังไม่ทันจางไป ปฏิทินการแข่งขันเทนนิสอาชีพหมุนให้ สแลมคอร์ตหญ้าอันเก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง "วิมเบิลดัน" เตรียมเปิดฉากแข่งขันเป็นปีที่ 123 ในสัปดาห์นี้ พร้อมกับข่าวดีของ เฟเดอเรอร์ ที่ ราฟาเอล นาดาล มือ 1 โลกและแชมป์เก่าเข่าอักเสบจนต้องถอนตัวออกไปเปิดโอกาสทองให้อดีตนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งโลกกรุยทางไปสู่ตำแหน่งแชมป์สมัยที่ 6 พร้อมกลับไปครองบัลลังก์ราชันย์ของวงการเทนนิสโลกอีกครั้ง
ช่วงเวลาคาบเกี่ยว 2 สัปดาห์ระหว่าง “โรลังด์ การ์รอส” กรุงปารีส มาจนถึงเทศกาล "สตรอเบอร์รี วิป ครีม" ใน วิมเบิลดัน ยังมีทัวร์นาเมนต์เทนนิสอาชีพทำการแข่งขันกันตามปกติ หากแต่ผลการแข่งขันของรายการเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องรองเมื่อปีนี้ สปอตไลต์ของสื่อจับจ้องไปที่ปฏิกิริยาของเหล่าตำนานในวงการเทนนิสไล่ตั้งแต่ จอห์น แม็คเอนโร จนถึง อังเดร อากัสซี และ พีต แซมพราส ที่ต่างออกมาเชิดชูให้ เฟเดอเรอร์ เป็นนักเทนนิสที่ "ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" (Greatest of All Time) จากความครบเครื่องของสไตล์การเล่นและหัวจิตหัวใจอันแข็งแกร่งอีกทั้งยังยกให้เป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์ วิมเบิลดัน 2009 พร้อมจารึกตำนาน 15 แชมป์แกรนด์สแลม
โดย เสียงสรรเสริญที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกับความในใจของ "เฟดเอ็กซ์" มากนักเมื่อเจ้าตัวออกมากล่าวว่า "ผมรู้สึกว่าตนเองฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหลังคว้าแชมป์ เฟรนช์ โอเพน มาครองได้เป็นสมัยแรกเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน โดยการก้าวไปเป็นแชมป์ทั้งที่ต้องเล่น 5 เซตถึง 2 แมตช์ในรอบ 4 และรอบตัดเชือก(ชนะ ทอมมี ฮาส และ ฮวน มาร์ติน เดล ปอโตร ตามลำดับ)เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผมมีจิตใจที่แข็งแกร่งสามารถแบกรับความกดดันได้ดีกว่าหลายๆปีที่ผ่านมาและพร้อมที่จะก้าวไปเป็นแชมป์ วิมเบิลดัน ในปีนี้และปีต่อๆไปหลังจากเคยทำสำเร็จมาแล้วถึง 5 สมัยติดต่อกัน (2003-2007)"
นอกจาก เฟเดอเรอร์ จะเชื่อมั่นในตัวเองแล้วยังได้รับกำลังใจมากขึ้นเมื่อ บียอร์น บอร์ก ตำนานแชมป์ วิมเบิลดัน 5 สมัยซ้อนระหว่างปี 1976-1980 ซึ่งเคยฟันธงอย่างแม่นยำว่า นาดาล จะครองแชมป์ วิมเบิลดัน ปี 2008 หันมาชูให้ตัวเขามีสิทธิเป็นแชมป์ในปีนี้มากที่สุด โดยเจ้าของฉายา “ไอซ์บอร์ก” กล่าวว่า “เฟเดอเรอร์ โล่งใจมากขึ้นเมื่อคว้าแชมป์ เฟรนช์ โอเพน ได้สำเร็จหลังจากต้องรอคอยมานาน ดังนั้นเขาจึงลงแข่ง วิมเบิลดัน คราวนี้ด้วยความมั่นใจและน่าจะเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปครอง"
อย่างไรก็ตามตำนานสักหลาดชาวสวีเดนยังมองว่า แอนดี เมอร์เรย์ มือ 3 ของโลกชาวสกอตแลนด์อาจมีเซอร์ไพรส์ดับความฝันของ เฟเดอเรอร์ ลงได้เมื่อออกมากล่าวว่า “เมอร์เรย์ พัฒนาฝีมือขึ้นมาได้รวดเร็วเหลือเกินในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดามาวันนี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งปรับตัวกับพื้นสนามต่างๆได้ดีนอกจากนี้ยังตีบอลได้เยี่ยมซึ่งถ้าว่ากันตามตรงผมมองไม่เห็นจุดอ่อนของเขาเลย"
ทั้งนี้หลังจาก "ไทเกอร์ ทิม" ทิม เฮนแมน ขวัญใจมหาชนเมืองผู้ดีแขวนแร็กเกตเมื่อปลายปี 2007 แอนดี เมอร์เรย์ หนุ่มมาดเซอร์จากสกอตแลนด์ต้องรับไม้แห่ง "ความหวัง" ในการเป็นนักหวดเจ้าถิ่นคนแรกนับตั้งแต่
เฟรด เพอร์รี ในปี 1936 ที่ก้าวไปเป็นแชมป์ วิมเบิลดัน ซึ่งในปี 2008 เมอร์เรย์ แพ้ให้กับ นาดาล ในรอบ 8 คนสุดท้าย ทว่าในปีนี้ เมอร์เรย์ มีโอกาสมากขึ้นเมื่อเขาถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นมือวางอันดับ 2 ของ วิมเบิลดัน 2009 และจะไม่มีทางปะทะกับ เฟเดอเรอร์ หรือ โนวัค ยอโควิช ก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งการได้สายการแข่งขันแบบโชคช่วยในครั้งนี้บวกกับความมั่นใจจากแชมป์ 4 รายการในปี 2009 ทำให้ เมอร์เรย์ ในวัย 22 ปีออกมากล่าวเป็นครั้งแรกว่า "ผมเชื่อว่าตนเองดีพอจะเอาชนะ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ คว้าแชมป์ วิมเบิลดัน หนนี้"
ทั้งหมดนี้คือภาพความมั่นใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันของ เฟเดอเรอร์ และ เมอร์เรย์ หากแต่รางวัลแห่งความสำเร็จของทั้งคู่ใน วิมเบิลดัน หนนี้นั้นแตกต่างกัน สำหรับ “เฟดเอ็กซ์” แชมป์ วิมเบิลดัน 2009 จะส่งเขากลับไปเป็นมือ 1 ของโลกอีกครั้งหลังสูญเสีย "บัลลังก์เทนนิสโลก" ซึ่งครองมาถึง 237 สัปดาห์ให้กับ นาดาล เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2008 ขณะที่ เมอร์เรย์ หากคว้าแชมป์ได้จะเป็นการเริ่มนับหนึ่งสำหรับโทรฟี แกรนด์สแลมใบแรกพร้อมจุดสิ้นสุดการรอคอย “แชมป์ในบ้าน” 73 ปีของชาวเมืองผู้ดี ซึ่งใครจะสมหวังหรือจะมีม้ามืดทะลุขึ้นมาเป็นแชมป์แฟนเทนนิสรอไม่นานจะได้พบคำตอบหลังจบรอบชิงชนะเลิศชายเดี่ยววันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคมนี้
ส่วนแฟนสักหลาดชาวไทยติดตามเชียร์ "แทมมี" แทมมารีน ธนสุกาญจน์ พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยมหลังป้องกันแชมป์ ออร์ดินา โอเพน ที่ ฮอลแลนด์ ได้สำเร็จเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยใน วิมเบิลดัน ครั้งนี้ หวดสาวมือ 1 ของไทยมี อรันท์ซา ปาร์รา ซานโตนยา รองบ่อนจากสเปนเป็นด่านแรกของการสานฝันเข้าถึงตัดเชือกที่ ออล อิงแลนด์ ให้ได้เป็นครั้งแรกหลังจากวิมเบิลดัน 2008 ทำผลงานกระหึ่มคอร์ตทะลุเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายก่อนพ่าย วีนัส วิลเลียมส์ ซึ่งต่อไปเป็นแชมป์หญิงเดี่ยวอย่างน่าชื่นชม
