xs
xsm
sm
md
lg

ดำเดียวในยุโรป / กษิติ กมลนาวิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน

ในขณะที่ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรของทวีปยุโรปเดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลลีกสูงสุดภายในประเทศต่างๆ ก็คืบคลานใกล้ได้แชมป์เข้าไปทุกที ถ้าเป็นสำนวนไทยที่ใช้กันก็คงเรียกว่า เข้าสู่โค้งสุดท้าย อันนี้เอามาจากการแข่งขันกรีฑาที่มีลู่วิ่งรอบสนามฟุตบอลเป็นระยะทาง 400 เมตร ซึ่งของเราไปนับกันตั้งแต่ช่วงเข้าสู่ 200 เมตรสุดท้ายที่เป็นทางโค้ง แต่ถ้าเป็นฝรั่งเศส เขาจะถือเอาช่วง 100 เมตรสุดท้ายจริงๆ เขาจึงมีสำนวนว่า เข้าสู่ช่วงทางตรงสุดท้าย จะอย่างไรก็ตาม บางลีกก็พอจะเห็นแชมป์ชัดๆกันแล้ว แต่บางลีกอาจต้องรอลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้าย

เซริเอ อา ของอิตาลี เหลือแข่งอีก 5 นัด อินเตรนาซิโอนาเล มีลาโน ( Internazionale Milano ) หรือ อินเทอร์ มีลาน มีคะแนนนำโด่ง 74 คะแนน ทิ้งห่าง เอ ซี มีลาน ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 7 แต้ม

ปรีเมรา ดีบีซิออน ( Primera Division ) ของสเปน เหลือแข่งอีก 5 นัด บารเซโลนา นำ เรอัล มาดริด ทีมอันดับ 2 อยู่ 4 คะแนน จะมีโอกาสก็แค่ 2 ทีมนี้ นอกนั้นแต้มขาด ไล่ตามไม่ทันแล้ว

เพรอมิเอ ลีก ของอังกฤษ เหลือแข่งอีก 4 นัด แมนเชสเตอร์ ยูนายเต็ด นำ ลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 2 อยู่ 3 คะแนน แถมยังมีนัดตกค้างอีก 1 นัด

ทั้ง 3 ลีกที่กล่าวมา หลายท่านคงมีความคิดเหมือนผมคือ ถ้าไม่ซวยจริงๆ ทีมที่นำหัวตารางอยู่ขณะนี้ก็ไม่น่าพลาดแชมป์

ส่วน บุนเดสลีกา ( Bundesliga ) ของเยอรมนี ก็เหลือแข่งอีก 5 นัดเช่นกัน โวลฟ์สบวร์ก ทีมนำหัวตารางมีคะแนนห่างจาก แฮร์ธา แบร์ลีน ทีมอันดับ 2 เพียง 2 คะแนน และอันดับถัดลงไปก็ยังมีคะแนนจี้ก้นมาอีกเป็นฝูง ไม่ว่าจะเป็น บาแยร์น มึนเชิน ชตุทการ์ท และ ฮัมบวร์ก ดังนั้น ลีกนี้ยังมีโอกาสแย่งแชมป์กันถึง 5 ทีม

ลีก เอิง ( Ligue 1 ) ของฝรั่งเศส เหลือแข่งอีก 5 นัด โอแล็งปิก เดอ มารแซ็ย ( Olympique de Marseille ) มีคะแนนนำ ชีรงแด็ง เดอ บอรโด ( Girondins de Bordeaux ) ทีมอันดับ 2 อยู่ 5 คะแนน แต่ บอรโด ยังมีนัดตกค้างอีก 1 นัด ถ้าจะมีโอกาสคว้าแชมป์ก็ต้องเป็น 2 ทีมนี้

ผมกำลังนึกถึง มารแซ็ย ทีมที่เคยโด่งดัง สมัย แบรนาร ตาปี ( Bernard Tapie ) เป็นประธานสโมสร ช่วงปี 1986-1994 ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยตอนที่หมอนี่เริ่มเข้ามาคุมสโมสรนั้น ได้ประกาศเป้าหมายชัดเจนว่า ต้องการเป็นแชมป์ยุโรป ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จในปี 1993 อันนี้พ่วงมาด้วยการคว้าแชมป์ดิวิเชิน 1 ฝรั่งเศส 4 ปีซ้อนช่วงปี 1989-1991 แต่แชมป์ยุโรปนั้นได้มาด้วยการโกงนิดหน่อย เพราะปีนั้น ก่อนลงเตะนัดชิงชนะเลิศกับ เอ ซี มีลาน ที่ โอลึมเปีย ชตาดิออน ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ในวันที่ 26 พฤษภาคมนั้น โอแอ็ม ก็กำลังลุ้นแชมป์ดิวิเชิน 1 ฝรั่งเศสด้วย โดยมีคิวต้องลงแข่งกับ วาล็องเซียน ( l' US Valenciennes-Anzin ) ในวันที่ 22 พฤษภาคม และเพื่อเป็นการการันตีว่า โอแอ็ม จะเก็บ 3 แต้มได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องมีนักเตะบาดเจ็บ จึงต้องมีการเจรจาลับๆเพื่อล้มบอล

เรื่องดังกล่าวเกิดฉาวขึ้นมาเพราะ ชัก กลาสมัน ( Jacques Glassmann ) นักเตะกองหลังของ วาล็องเซียน ไปเล่าให้ โบโร ปรีโมรัก ( Boro Primorac ) โค้ชชาวยูโกสลาเวีย ซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็น บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ไปแล้วว่า ช็อง-ชัก เอเดอลี ( Jean-Jacques Eydelie ) เพื่อนเก่าที่ขณะนั้นเล่นให้ มารแซ็ย ได้โทรศัพท์ติดต่อมาก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น โดยบอกว่า ผู้บริหาร โอแอ็ม สัญญาจะจ่ายเงินก้อนหนึ่งให้ กลาสมัน และนักเตะของ วาล็องเซียน อีก 2 คนคือ เอล บูรรู ( El Burru ) หรือ ฆอรเก บูรูชากา ( Jorge Burruchaga ) มิดฟีลด์ทีมชาติอารเกนตินา และ คริสต็อฟ โรแบร ( Christophe Robert ) ทั้งนี้ขอให้ทั้ง 3 คนช่วยกันปล่อยให้ โอแอ็ม เอาชนะหน่อย

ปีนั้น โอแล็งปิก เดอ มารแซ็ย คว้าแชมป์ทั้งถ้วยยุโรปและดิวิเชิน 1 แต่ในที่สุดก็ถูกถอดออกจากตำแหน่งแชมป์ฝรั่งเศส ถูกตัดออกจากการแข่งขันฟุตบอลยุโรป 1 ฤดูกาล ไม่ได้เล่น ยูเอ็ฟฟา ซุพเพอร์ คัพ รวมทั้ง อินเทอร์คอนทิเนนทัล คัพ ด้วย

เมื่อหมดยุค แบรนาร ตาปี ผลงานของ โอแล็มปิก เดอ มารแซ็ย ก็ถดถอย จนเข้าสู่ยุคของ ปัป ดิอุฟ ( Pape Diouf ) ประธานสโมสรผิวดำชาวเซเนกัล ซึ่งตัวแกยังบอกเลยว่าตนเองเป็นประธานสโมสรฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศในทวีปยุโรปคนเดียวที่เป็นคนผิวดำ

ปับ ดิอุฟ เรียนทางด้านรัฐศาสตร์ที่สถาบันการศึกษาวิชารัฐศาสตร์แห่ง เอ็กซ็องโปรว็องซ์ ( l’ Institut d' etudes politiques d' Aix-en-Provence ) เพราะไม่อยากเป็นทหารเหมือนพ่อ แต่ก็ละทิ้งการเรียน มาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ ตอนนี้เองที่เขาได้รับมอบหมายให้เกาะติดความเคลื่อนไหวของสโมสร โอแล็งปิก เดอ มารแซ็ย ทำให้รู้จักวงการฟุตบอลอย่างลึกซึ้ง แล้วเขาก็หันมาเอาดีทางการเป็นนายหน้าค้าขายนักฟุตบอลจนร่ำรวย นักเตะในสังกัดของหมอนี่มีใครบ้าง ก็ บาซิล โบลี ( Basile Boli ) กองหลังที่ขึ้นมาโหม่งประตูชัยให้ มารแซ็ย คว้าแชมป์ถ้วยยุโรปไงครับ นอกจากนั้นก็มี มารเซล เดอไซยี ( Marcel Desailly ) แบรนาร ลามา ( Bernard Lama ) วิลเลียม กัลลัส ( William Gallas ) ดิดิเอ ดร็อกบา ( Didier Drogba ) และ ซามีร นาสรี ( Samir Nasri ) เป็นต้น กับผีมือการบริหารของประธานผิวดำ ปีนี้นับว่าเป็นปีที่ มารแซ็ย เริ่มกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งนับตั้งแต่บักโกรกมาจากเรื่องอื้อฉาวในปี 1993 ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น