xs
xsm
sm
md
lg

สำรวจเส้นทางหฤโหด "ดาการ์ 2009"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เส้นทางแข่งดาการ์ 2009
จากปัญหาภัยก่อร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2008 ทำให้ผู้จัดการแข่งขันดาการ์แรลลี 2009 ต้องทำการเปลี่ยนเส้นทางการแข่งขันใหม่ จากเดิมที่แข่งขันจากทวีปยุโรปมุ่งหน้าสู่กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัลในทวีปอัฟริกา มาเป็นการแข่งกันในทวีปอเมริกาใต้ โดยจะเริ่มออกสตาร์ทกันที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินามุ่งหน้าสู่ประเทศชิลี และวนกลับมาเข้าเส้นชัยที่กรุงบัวโนสไอเรส

โดยเส้นทางการแข่งขันในปีนี้รวมระยะทาง 9,574 กิโลเมตร แบ่งการแข่งขันออกเป็น 14 สเตจ ซึ่งก่อนที่แรลลีหฤโหดรายการเก่าแก่ของโลกจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 3 มกราคม 2552 นี้ ลองไปดูกันว่า เส้นทางที่ "เจ้าหนึ่ง" มานะ พรศิริเชิด นักขับหนึ่งเดียวของไทยสังกัดมิตซูบิชิ แรลลีอาร์ต สิงห์ ทีม ประเทศไทย ที่จะต้องขับรถ ปาเจโร สปอร์ต อีโวลูชัน ไปสู่เส้นชัยให้ได้มีเส้นทางใดบ้างสำหรับ "ดาการ์ แรลลี 2009 อาร์เจนตินา – ชิลี"

สเตจ 1 - วันเสาร์ที่ 3 มกราคม : Buenos Aires - Santa Rosa 733 กม.
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ La Pampa ที่ซึ่งมีคนบอกว่า “ผู้ชายมีความหยาบกระด้าง แต่ยังคงไว้ซึ่งความสุภาพ อยู่เสมอ” ดินแดนแห่งนี้เป็นสเตจแรกที่ผู้เข้าแข่งขันจะพบกับความยาวของที่ราบอันกว้างใหญ่ แน่นอนว่า ผู้เข้าแข่งขันดาการ์ไม่เคยเผชิญกับช่วงจับเวลาพิเศษที่ยาวเช่นนี้มาก่อน ด้วยเส้นทางที่ทอดยาวกว่า 400 กม. แต่บางทีอาจจะใช้เวลาน้อยที่สุดในการข้ามผ่านสเตจนี้ก็เป็นได้ สเตจนี้ถือเป็นการอุ่นเครื่องสำหรับผู้เข้าแข่งขันเพื่อปรับสภาพให้ชินกับการขับเคี่ยวที่กำลังจะมาถึง

สเตจ 2 – วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม : Santa Rosa - Puerto Madryn 837 กม.
สเตจที่ยาวที่สุดของแรลลี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องยากที่สุดเสมอไป อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าแข่งขันก็ควรจะระวังไว้ และเหนือสิ่งอื่นใด การเตรียมอุปกรณ์ยังชีพไปให้ครบก็เป็นสิ่งสำคัญ หลังจากสเตจแรกของช่วงจับเวลาพิเศษที่ใช้ความเร็วได้มากที่สุด นักแข่งก็จะได้สัมผัสกับทะเลทรายในช่วงหฤโหดของสเตจนี้ เนวิเกเตอร์จะต้องใส่ใจเรื่องเส้นทางเป็นพิเศษ ยิ่งถูกเบี่ยงเบนความสนใจก็จะยิ่ง “พ่ายให้กับกลลวงของเส้นทาง”

สเตจ 3 - วันจันทร์ที่ 5 มกราคม : Puerto Madryn - Jacobacci 694 กม.
สำหรับวันที่สามของการแข่งขันนี้ ช่วงจับเวลาพิเศษจัดว่าเป็นสิ่งที่ยากเพราะมีความยาวกว่า 600 กม. นี่เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้เข้าแข่งขันรับรู้ว่าได้มาถึงจุดสำคัญของการแข่งขันแล้ว ถึงแม้ว่ากำลังจะมีอุปสรรคใหญ่ ๆ ตามมาอีกก็ตาม การเข้าสู่ Patagonia จะเป็นการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางครั้งสำคัญซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ความสามารถและเทคนิคใหม่จากผู้ขับ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขามากขึ้นทำให้ผู้ที่ชื่นชอบการขับเคลื่อนผ่านทางโค้งได้โชว์ฝีมือกันอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ในวันนี้ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเดินทางข้ามผ่านทะเลสาบที่อยู่สองข้างทางประมาณ 10 ทะเลสาบ รวมทั้งสัมผัสกับนกฟลามิงโกสีชมพูจำนวนมากที่คอยทำหน้าที่เป็นไกด์นำทางสำหรับสเตจนี้

สเตจ 4 - วันอังคารที่ 6 มกราคม : Jacobacci - Neuquen 488 กม.
ช่วงเริ่มต้นของสเตจนี้ผู้เข้าแข่งขันต้องพบกับทางที่เต็มไปด้วยโขดหิน ทำให้สิงห์นักบิดเกิดอาการเมื่อยล้าจากการใช้กำลังแขนอย่างหนัก และขณะที่นักแข่งที่เริ่มจะคุ้นเคยกับเส้นทางของ ”wadis” คงจะต้องเจอกับอุปสรรคคล้ายกันใน “rios” ของอาร์เจนตินาซึ่งเขาเหล่านั้นจะต้องคอยระวังอย่างมาก จากนั้นบรรดานักแข่งจะได้สัมผัสกับเส้นทางทรายเป็นครั้งแรก ผู้ที่ชื่นชอบการขับรถในทางแบบออฟโรดจะรู้สึกตื่นเต้นและสนุกกับการขับใน สเตจนี้ แน่นอนที่สุดความรอบคอบเป็นเรื่องสำคัญ ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะเส้นทางที่มุ่งไปสู่ Neuquen เต็มไปด้วยกับดัก

สเตจ 5 - วันพุธที่ 7 มกราคม : Neuquen - San Rafael 763 กม.
บททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ของสัปดาห์แรกของการแข่งขันอาจจะอยู่บนถนนสู่ San Rafael ระยะทางที่ทอดยาวบังคับให้ทีมต่างๆ ต้องมีสมาธิอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้นักขับจะต้องเผชิญกับทางเชื่อมเนินทรายที่ยาวเป็นแนวเกือบ 20 กม. และเส้นทางออฟโรดที่ยาวสลับสับเปลี่ยนกับเส้นทางตาม “rios” ที่ต้องใช้เทคนิคในการขับมาก ผู้เข้า-แข่งขันจะสามารถเห็น Cordillera ได้บนเส้นขอบฟ้า แต่การใช้เวลาชื่นชมทัศนียภาพนั้นมีไม่มากนัก เพราะการไปถึงแคมป์ชั่วคราวสายเกินไปจะทำให้เสียคะแนน

สเตจ 6 - วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม : San Rafael - Mendoza 625 กม.
บนเส้นทางการแข่งวันนี้เต็มไปด้วยทางแยกอีกครั้ง นับตั้งแต่ช่วงการจับเวลาพิเศษที่เริ่มต้นด้วยเนินทรายประมาณ 60 กม. จากนั้นในส่วนที่สองเส้นทางก็จะง่ายขึ้น แต่ผู้เข้าแข่งขันควรจะชลอความเร็วเมื่อพบกับแม่น้ำที่ตื้นแต่มีความกว้างใหญ่ ซึ่งจะต้องใช้สมาธิและทักษะสูงในการข้ามผ่าน เมื่อมาถึง Mendoza ผู้เข้าแข่งขันก็จะได้สัมผัสกับกลิ่นอายของเทือกเขา Andes

สเตจ 7 - วันศุกร์ที่ 9 มกราคม : Mendoza (ARG) - Valparaiso (CHL) 816 กม.
ดาการ์ 2009 ประกอบด้วยเส้นทางและภูมิประเทศอันหลากหลาย ซึ่งในสเตจนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะนอกจากการขับข้ามจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศแล้ว ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่จะได้สัมผัสและรู้จักกับ Cordillera of the Andes และก่อนบททดสอบสำหรับการขับรถบนทางสูงชันจะเริ่มขึ้น พวกเขาจะต้องผ่าน เนินทรายนับไม่ถ้วน และฝ่าฟันกับการขับบนทรายที่มีความนิ่มและละเอียดคล้ายกับทรายในทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งคนในถิ่นนี้เรียกมันว่า “guadal” การขับบนภูเขาในสเตจนี้จะมีช่วงจับเวลาพิเศษเพียงช่วงเดียวที่วิ่งบนทางสูงกว่า 3,000 เมตร ซึ่งผู้เข้าแข่งขันอาจจะมีโอกาสมองเห็น Aconcagua ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเทือกเขา Andes (6,959 ม.) จากนั้นผู้เข้าแข่งขันจะข้ามพรมแดนโดยผ่านทางเชื่อมมุ่งหน้าสู่ทะเลที่ Valparaiso

สเตจ 8 – วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม: Valparaiso - La Serena 652 กม.
หลังจากวันพักหนึ่งวันบนฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยเส้นทางที่ไม่ยากนัก ผู้เข้า-แข่งขันจะขับบนทางเขาที่ไม่สูงมากดังนั้นจึงสามารถที่จะแสดงความเก๋าของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะทักษะด้านการนำทาง การขับบนทางโค้งหักศอก และการเบรคอย่างรวดเร็ว แต่ผู้นำในการแข่งก็ไม่ควรประมาทเพราะโอกาสที่จะพ่ายให้กับเส้นทางในสเตจนี้ก็มีมาก

สเตจ 9 - วันจันทร์ที่ 12 มกราคม : La Serena - Copiapo 537 กม.
ชื่อเสียงของทะเลทราย Atacama ที่ว่าเป็นพื้นที่ที่มีความแห้งแล้งที่สุดในโลกนั้นกำลังจะถูกทดสอบโดยนักแข่งที่มีความแข็งแกร่งและทรหดสูง ผู้เข้าแข่งขันที่ต้องการพิสูจน์ฝีมือการขับของตนเองบนเนินทรายก็จะได้ดังปรารถนา พร้อมทั้งยังจะถูกท้าทายจากเส้นทางที่เต็มไปด้วยหินอีกด้วย เส้นทางที่มีความหลากหลายในสเตจนี้ บ่งบอกความเป็นดาการ์ 2009 อย่างแท้จริง ด้วยเส้นทางที่หฤโหดและเนินทรายที่ทอดยาวตอนท้ายของสเตจนี้ ทำให้นักแข่งต้องพยายามเซฟพละกำลังและวางแผนในการจัดการอุปสรรคต่างๆ อย่างมีสติเพื่อที่จะสามารถ ฝ่าด่านนี้ไปให้ได้

สเตจ 10 - วันอังคารที่ 13 มกราคม : Copiapo - Copiapo 690 กม.
ช่วงจับเวลาพิเศษของวันนี้นับว่ามีความยาวและยากที่สุดของการแข่งขันแรลลี่ครั้งนี้ เช่นเดียวกับเมื่อวันก่อน ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเผชิญกับเนินทรายที่ทอดยาวกว่าหนึ่งร้อยเมตรในช่วงท้ายของวัน และในบริเวณนี้เอง แม้ผู้เชี่ยวชาญที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งของผู้นำการแข่งขันก็จะต้องเจอกับอะไรใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึง เนินทรายของชิลีซึ่งเป็นภูเขาทรายจริงๆ ทำให้นักแข่งจะต้องเรียนรู้ที่จะปีนและลงจากด้านข้างของเนินทรายเป็นระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตร และสิ่งที่หฤโหดยิ่งกว่านั้นก็คือ ความร้อนสุดๆ ของดินแดนแห่งนี้ ทำให้นักแข่งต้องมีความอดทนเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าทรายจะเป็นอย่างไร ยิ่งขาดความรอบคอบมากเท่าไร โอกาสสูญเสียก็จะมากขึ้นเท่านั้น

สเตจ 11 - วันพุธที่ 14 มกราคม : Copiapo - Fiambala 680 กม.
ในสเตจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการแข่งขันแรลลี่นี้ ความสามารถของเนวิเกเตอร์จะถูกใช้เป็นกลยุทธเพื่อฝ่าด่านนี้ ในช่วงเช้าของการออกสตาร์ทเบื้องหลังของบรรดารถแข่งคือมหาสมุทรแปซิฟิกอันยิ่งใหญ่ และหนทางเบื้องหน้าคือเส้นทางสู่พรมแดนระหว่างชิลีและอาร์เจนตินา สำหรับเส้นทางกลับเข้าสู่อาร์เจนตินาคือเส้นทางที่ผ่าน Paso San Francisco ที่มีความสูงเกือบ 4,700 ม. แต่ล้อมรอบด้วยภูมิประเทศอันงดงามน่าหลงใหล ในตอนสุดท้ายของสเตจนี้ผู้เข้าแข่งขันจะต้องวิ่งบนทางเชื่อมที่เป็นเส้นทางทรายคล้ายกับเส้นทางในมอริเตเนีย และถ้าโชคเข้าข้าง ผู้เข้าแข่งขันอาจจะได้สัมผัสกับ “Bolivian winter” ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และถ้าหากเกิดขึ้นจริง ๆ คุณจะได้สัมผัสกับหิมะในฤดูร้อน!

สเตจ 12 - วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม : Fiambala - La Rioja 518 กม.
ในการที่จะพิชิตช่วงจับเวลาพิเศษของวันนี้จะต้องให้ความสำคัญกับเทคนิคในการขับ ผู้เข้าแข่งขันจะพบกับเนินทรายหลายแบบ รวมทั้ง “white dunes” ที่จัดว่าเป็นเนินทรายที่มีอุปสรรคต่อการแข่งขันมากที่สุด เหลือเวลาอีกเพียงแค่สามวันและในสเตจนี้อาจทำให้ผู้เข้าแข่งขันต้องผิดหวังในการที่จะบันทึกความสำเร็จบนตำนานดาการ์อันยิ่งใหญ่ เพราะทีมเซอร์วิสไม่สามารถเข้ามาที่แคมป์ชั่วคราวที่ Fiambala ได้ ดังนั้นกฎทองของตำนานดาการ์ที่ว่า “การแข่งขันต้องใช้ความรอบคอบ” เป็นสิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันต้องย้ำเตือนสติตนเองอยู่เสมอ

สเตจ 13 - วันศุกร์ที่ 16 มกราคม : La Rioja - Cordoba 753 กม.
หลังจากผ่านมาเป็นพันๆ กิโลเมตร ผู้เข้าแข่งขันก็จะพบกับความท้าทายในสเตจก่อนสุดท้ายอีกครั้ง นักแข่งที่ นำอยู่จะต้องรักษาตำแหน่งไว้ให้ได้ ในขณะที่มือสมัครเล่นจะต้องหลีกเลี่ยงความมั่นใจที่มีมากเกินไป ความผิดพลาดอาจทิ้งความทรงจำที่ขมขื่น เพราะว่านี่จะเป็นวันของตะบองเพชร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่เต็นท์ชั่วคราวจะมีหมอที่ถูกเรียกไปให้ใช้แหนบถอนหนามตะบองเพชรมากขนาดไหน และสำหรับนักแข่งมืออาชีพจะต้องรู้สึกคุ้นเคยกับเส้นทางนี้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการแข่งแรลลี่ Patrimony of the World Cup ที่จัดขึ้นทุกปีที่ Cordoba ณ ที่นี้แฟนพันธุ์แท้จะรับประกันความสนุกของปาร์ตี้ใหญ่ที่มีความโด่งดังไปทั่วโลก

สเตจ 14 - วันเสาร์ที่ 17 มกราคม : Cordoba - Buenos Aires 792 กม.
การผจญภัยเริ่มต้นที่ La Pampa หลังจากการสำรวจสองประเทศในทวีปที่มีความยิ่งใหญ่แห่งนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะพบกับภูมิประเทศที่คุ้นเคยมากขึ้น บนทางที่ทอดยาวและต่อเนื่อง สมาธิยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ ผู้ที่มาถึงพร้อมกับตำแหน่งแชมป์เปี้ยนในกรุงบัวโนสไอเรสจะสัมผัสได้ถึงประสบการณ์แห่งความภาคภูมิใจที่สุดเท่าที่เคยมีมาในการแข่งขันแรลลี่ซึ่งแน่นอนว่าความเป็นสุดยอดในตำนานดาการ์จะยังคงอยู่ตลอดกาล
มานะ(ซ้าย) และ เธียร์รี ลาคอมบ์ เนวิเกเตอร์คูใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น