ดิดิเยร์ ดร็อกบา ดาวยิงของ "สิงห์บลูส์" เชลซี ยอมรับกำลังประสบกับช่วงเวลาที่วิกฤตของอาชีพการค้าแข้ง แต่มั่นใจว่าจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคผ่านพ้นไปได้
กองหน้าชาวไอเวอรี โคสต์ พบกับช่วงเวลาแห่งการทดสอบนับตั้งแต่สิ้นสุดฤดูกาลก่อนในเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ที่เจ้าตัวถูกไล่ออกจากสนามและต้นสังกัดพ่ายการดวลจุดโทษให้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนพลาดการคว้าแชมป์สมัยแรกของทีมไปอย่างน่าเสียดาย
หลังจากนั้นอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าส่งผลให้กองหน้าวัย 31 ปีพลาดการลงสนามช่วยทีมมาตั้งแต่เดือนกันยายนทำให้ นิโกลาส์ อเนลกา ดาวยิงชาวฝรั่งเศสเข้ามายึดตำแหน่งตัวจริงแทน หลังจากระเบิดฟอร์มถล่มประตูจนเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมอยู่ ณ เวลานี้
นอกจากนี้การถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ลงโทษห้ามแข่งจากการกระทำผิดในกรณีขว้างเหรียญเข้าใส่แฟนบอลเบิร์นลีย์ ในเกมที่ต้นสังกัดพ่ายให้กับคู่แข่งไปในเกมคาร์ลิง คัพ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาก็นำพาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกเช่นกัน
ล่าสุด ดร็อกบา ยอมรับกับ “สกายสปอร์ต” สื่อเมืองผู้ดีถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าเป็นสถานการณ์อันเลวร้ายที่สุดอีกครั้งในชีวิต แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ดีว่าจะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านี้ไปได้
“มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถาโถมเข้ามาใส่ผม แต่ผมไม่ต้องการกล่าวถึงมัน ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำ (การขว้างเหรียญใส่คนดู) เป็นพฤติกรรมที่แย่มาก ดังนั้นมันดีกว่าถ้าผมจะทำตัวเงียบเข้าไว้เพื่อรอเวลากลับมาลงสนามและทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด” ดาวยิงชาวไอเวอรีโคสต์กล่าว
อย่างไรก็ตามแม้ ดร็อกบา จะยอมรับถึงการกระทำที่ผิดพลาด แต่มีความเห็นเช่นกันว่าเสียงวิจารณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมีอคติต่อตนมากเกินไป
“ผมเป็นนักฟุตบอลคนหนึ่งและเป็นบุคคลสาธารณะ การถูกวิจารณ์จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ผมคิดว่าบางกรณีต้องให้ความยุติธรรมเช่นกัน” ดาวเตะวัย 31 ปีกล่าว “มันเรื่องง่ายที่กล่าวโทษว่า ดร็อกบา เป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ (นัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก) แทนที่จะกล่าวว่า เชลซี โชคไม่ดี”
“มันน่าผิดหวังจริงๆ (กับการถูกไล่ออก) เพราะเวลาการแข่งขันเหลืออยู่อีกเพียงไม่กี่นาที มันเป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้จริงๆว่าจะไปอยู่ตรงจุดไหนของสนามภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น หลายคนกล่าวว่าผมน่าจะได้ยิงลูกโทษสุดท้ายและพวกเราจะคว้าชัยชนะ แต่ผมพลาดโอกาสนั้นไป”
" คุณเรียนรู้ได้อย่างมากจากสถานการณ์ดังกล่าว มันคือชีวิตจริง คุณจำเป็นต้องเรียนรู้และผมเรียนรู้กับมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน" ดร็อกบา กล่าวปิดท้าย
