มนัส บุญจำนงค์ ขอมอบชัยชนะเหนือ เซริก ซาพิเยฟ แชมป์โลกจากคาซักสถาน ในกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 29 ให้แก่พี่น้องชาวไทยทุกคน พร้อมกันนี้ ประกาศขอผ่านเข้าชิงให้ได้ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้คุณแม่
แม้ทำเอาคอหมัดมวยชาวไทยหายใจหายคอกันไม่ทั่วท้อง แต่ท้ายที่สุด มนัส บุญจำนงค์ ยอดมวยวัย 28 ปี สามารถย้ำแค้นเอาชนะ เซริก ซาพิเยฟ ดีกรีเวิลด์แชมเปียนชิปส์ 2 สมัยในปี 2005 และ 2007 ไปได้หวุดหวิด 7-5 หมัด เข้าสู่รอบรองชนะเลิศมวยสากลสมัครเล่น “ปักกิ่งเกมส์” ในรุ่นไลต์เวลเตอร์เวต 64 กิโลกรัม ไปพบกับ โรเนียล อิเกลเซียส โซโตลอนโก จากคิวบา ที่เอาชนะ เจนนาดี โควาเลฟ จากรัสเซีย 5-2 หมัด ซึ่งในเวลานี้ มนัส ได้เหรียญทองแดงมาคล้องคออย่างแน่นอนแล้ว
ซึ่งภายหลังการชก มนัส กล่าวกับทีมงาน MGR Sport ที่ไปเกาะติดสถานการณ์ถึงขอบสังเวียนผ้าใบ “ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณชาวไทยที่ให้โอกาสคนที่เคยผิดพลาดมามาก เกเรมาก็เยอะได้กลับตัว วันนี้ผมจึงขอมอบชัยชนะในครั้งนี้ให้แก่แฟนๆ ชาวไทยทุกคน ผมสัญญาว่าจะเอาเหรียญทองมาฝากพ่อแม่พี่น้องชาวไทยให้ได้”
“วันนี้ผมพอใจมากกับผลการแข่งขันที่ออกมา นักชกคาซักสถานคนนี้เป็นมวยประเภทไฟเตอร์ ซึ่งผมประมาทไม่ได้เลย ตอนที่ถูกตัดแต้ม และคะแนนเสมอกันในยกที่สาม ใจเสียไม่น้อยเหมือนกัน พอเดินเข้ามุมสตาฟฟ์โค้ชบอกให้ระบายความรู้สึกออกมา เพราะไม่อยากให้กดดันผมเลยตะโกน “ไทยแลนด์” จากนั้นก็ตั้งสติกลับไปสู้ใหม่ และสุดท้ายก็เอาชนะมาได้” ในขณะที่ให้สัมภาษณ์นั้น มนัส ซึ่งมีน้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลาเผยความรู้สึกต่อว่า “บอกตามตรงว่าชัยชนะในนัดนี้เหมือนยกภูเขาออกจากอก จะว่าไปนี่เป็นวันที่ผมเหนื่อยสุดในชีวิตก็ว่าได้ แต่ก็เป็นวันที่คุ้มค่าที่สุดเช่นกัน และก็ดีใจมากที่กลายเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่มีเหรียญกลับจากโอลิมปิกเป็นสมัยที่สอง” ยอดมวยจากจังหวัดราชบุรี กล่าวต่อ
“สำหรับในรอบรองชนะเลิศวันที่ 22 สิงหาคมนี้ ผมต้องการชัยชนะมาเป็นของขวัญให้คุณแม่ เพราะตรงกับวันเกิดของแม่พอดี ส่วนเมื่อเช้าตอนออกจากหมู่บ้านนักกีฬา ผมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ และก็มีพี่นักข่าวท่านหนึ่งมอบหลวงปู่ทวดให้คล้องคอไปสนาม ซึ่งหลังจบกีฬาโอลิมปิกผมได้สัญญากับพี่เขาเอาไว้ว่าจะเดินทางไปแก้บนที่วัดช้างไห้จังหวัดปัตตานี” ฮีโร่เหรียญทองที่เอเธนส์ เมื่อสี่ปีก่อนทิ้งท้าย
แม้ทำเอาคอหมัดมวยชาวไทยหายใจหายคอกันไม่ทั่วท้อง แต่ท้ายที่สุด มนัส บุญจำนงค์ ยอดมวยวัย 28 ปี สามารถย้ำแค้นเอาชนะ เซริก ซาพิเยฟ ดีกรีเวิลด์แชมเปียนชิปส์ 2 สมัยในปี 2005 และ 2007 ไปได้หวุดหวิด 7-5 หมัด เข้าสู่รอบรองชนะเลิศมวยสากลสมัครเล่น “ปักกิ่งเกมส์” ในรุ่นไลต์เวลเตอร์เวต 64 กิโลกรัม ไปพบกับ โรเนียล อิเกลเซียส โซโตลอนโก จากคิวบา ที่เอาชนะ เจนนาดี โควาเลฟ จากรัสเซีย 5-2 หมัด ซึ่งในเวลานี้ มนัส ได้เหรียญทองแดงมาคล้องคออย่างแน่นอนแล้ว
ซึ่งภายหลังการชก มนัส กล่าวกับทีมงาน MGR Sport ที่ไปเกาะติดสถานการณ์ถึงขอบสังเวียนผ้าใบ “ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณชาวไทยที่ให้โอกาสคนที่เคยผิดพลาดมามาก เกเรมาก็เยอะได้กลับตัว วันนี้ผมจึงขอมอบชัยชนะในครั้งนี้ให้แก่แฟนๆ ชาวไทยทุกคน ผมสัญญาว่าจะเอาเหรียญทองมาฝากพ่อแม่พี่น้องชาวไทยให้ได้”
“วันนี้ผมพอใจมากกับผลการแข่งขันที่ออกมา นักชกคาซักสถานคนนี้เป็นมวยประเภทไฟเตอร์ ซึ่งผมประมาทไม่ได้เลย ตอนที่ถูกตัดแต้ม และคะแนนเสมอกันในยกที่สาม ใจเสียไม่น้อยเหมือนกัน พอเดินเข้ามุมสตาฟฟ์โค้ชบอกให้ระบายความรู้สึกออกมา เพราะไม่อยากให้กดดันผมเลยตะโกน “ไทยแลนด์” จากนั้นก็ตั้งสติกลับไปสู้ใหม่ และสุดท้ายก็เอาชนะมาได้” ในขณะที่ให้สัมภาษณ์นั้น มนัส ซึ่งมีน้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลาเผยความรู้สึกต่อว่า “บอกตามตรงว่าชัยชนะในนัดนี้เหมือนยกภูเขาออกจากอก จะว่าไปนี่เป็นวันที่ผมเหนื่อยสุดในชีวิตก็ว่าได้ แต่ก็เป็นวันที่คุ้มค่าที่สุดเช่นกัน และก็ดีใจมากที่กลายเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่มีเหรียญกลับจากโอลิมปิกเป็นสมัยที่สอง” ยอดมวยจากจังหวัดราชบุรี กล่าวต่อ
“สำหรับในรอบรองชนะเลิศวันที่ 22 สิงหาคมนี้ ผมต้องการชัยชนะมาเป็นของขวัญให้คุณแม่ เพราะตรงกับวันเกิดของแม่พอดี ส่วนเมื่อเช้าตอนออกจากหมู่บ้านนักกีฬา ผมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ และก็มีพี่นักข่าวท่านหนึ่งมอบหลวงปู่ทวดให้คล้องคอไปสนาม ซึ่งหลังจบกีฬาโอลิมปิกผมได้สัญญากับพี่เขาเอาไว้ว่าจะเดินทางไปแก้บนที่วัดช้างไห้จังหวัดปัตตานี” ฮีโร่เหรียญทองที่เอเธนส์ เมื่อสี่ปีก่อนทิ้งท้าย