ในที่สุดเราก็ได้สัมผัสแสงแดดแรกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากที่ 2 วันแรกเปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นหวัด ร่างกายแข็งแรงเกินคาด
วันที่ 3 ผมกับเจ้าปั๊ม ออกจากที่พักแห่งใหม่ชื่อ ไบค์เตอร์ โฮม แถบถนน Vulkanshasse ลักษณะแคบประมาณนอนพลิกตัวก็ชนข้างฝาอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ในเวลาเที่ยงเศษฯ เพื่อจะมุ่งตรงไปยังแฟนโซนของ ซูริค เพราะมีเกมสำคัญ อิตาลี ปะทะ ฝรั่งเศส แน่นอนเริ่มชำนาญสามารถจับรถไฟจาก Zurich Altstetten เพื่อไปลงที่สถานีศูนย์กลางของ ซูริค ได้เองแล้ว
คราวนี้ผมเลือกเดินเรียบไปตามถนน Limmatquai เพื่อหาอาหารเช้าหม่ำ โดยคาดว่าจะเป็น "บราทวัร์สท์" เพราะรู้สึกติดใจจากวันแรกที่ได้ลิ้มลองและก็เป็นอาหารที่หากินง่ายที่สุดแล้ว เพราะมาถึงก่อนเวลาที่เกมคู่หยุดโลกของกลุ่ม ซี จะปะทะกัน เราจึงตัดสินใจไปเดินชมเมืองเก่า เนื่องจากวันแรกเป็นวันอาทิตย์ร้านจึงไม่เปิดทำการ
ต้องบอกว่าเป็นเมืองที่คลาสสิก มากๆ ในความรู้สึกคนที่ไม่โรแมนติกอย่างผม เพราะกวาดสายตาไปเห็นแต่ละร้านขายของพวกภาพศิลป์, หนังสือเก่า และของแต่งบ้านโบราณ ลักษณะของตึกเป็นหินเก่าก้อนใหญ่ๆ ที่ซ้อนต่อขึ้นเป็นตัวบ้าน ทางลาดชันสลับขึ้นลงไปมา
แต่เสียงโห่ร้องปลุกใจของแฟนบอล "อัซซูรี" ก็ทำลายบรรยากาศซะได้ หลังจากที่เบียร์เข้าปากและเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ คลื่นมหาชนสีน้ำเงินจึงเกลื่อนถนนริมทะเลสาบ ซูริค ไปหมด และต้องดูกันให้ดีๆ เพราะว่า ฝรั่งเศส ก็ดันมาในชุดสีเดียวกันอีก
เวลายังคงเหลือเฟือผมปรึกษากับเจ้าปั๊ม ว่าจะไปดูสีสันรอบสนาม เลทซิกรุนด์ ถามคนแถวนั้นบอกว่าเดินพียงแค่ 45 นาทีเท่านั้น เราจึงโชว์ความฟิตตัดสินใจไม่พึ่งรถสาธารณะพร้อมฉวยแผ่นที่ๆ แสดงเส้นทางบอกเอาไว้อย่างชัดเจน
ระหว่างทางก็เจอและทักทายพี่ๆ น้องๆ นักข่าวจากสำนักอื่นที่พบกันโดยบังเอิญอีกด้วย ปรากฎว่าเราเดินกันไปชั่วโมงครึ่งรวมเวลาแวะซื้อของ, ซื้อน้ำจากร้านของคนไทยที่อัธยาศัยสุดดี รวมถึงถ่ายภาพวีดีโอ ก็ต้องบอกว่าเหนื่อยสุด
แถมเมื่อถึงสนาม เลทซิกรุนด์ ความคึกคักไม่ได้คึกครื้นอย่างที่คิดเมื่อกองเชียร์อิตาลี ยังมากันน้อย แถมซุ้มขายของแถวนั้นก็ไม่เยอะเหมือนบริเวณแฟนโซน ทำให้พอเก็บงานเสร็จจึงตัดสินใจรีบกลับทันทีโดยใช้รถราง เพราะหากเดินอีกขาและเท้าของผมกับเจ้าปั๊ม คงบวมเป่งแน่ๆ
แต่เมื่อถึงบริเวณแฟนโซน เราก็เซ็งกันสุดๆ เพราะว่าเจ้าหน้าที่ไม่ให้เจ้าปั๊ม นำกล้องวิดีโอเข้าไปเหมือนกับวันแรก แถมพอเข้าไปกำลังจะส่งสายตาหวานๆ ให้กับสาวอิตาเลียน ฝนเจ้ากรรมที่ไม่มีทีท่าว่าจะตกก็เบียดแสงแดดพร้อมกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนต้องรีบคว้าเสื้อฝนพลาสติกที่อาสาสมัครแจกให้ไม่ทัน พร้อมเข้าไปหลบกันที่บริเวณป้ายรถเมล์ ไม่นานเราก็ตัดสินใจเดินฝ่าฝนออกมาเพื่อที่จะไปหาร้านอาหารนั่งชมเกมคู่นี้พร้อมทั้งหาอะไรยัดลงไปในท้องเป็นมื้อเย็นปิดท้ายด้วย
เดินไม่นานก็มาหยุดที่ร้านชื่อ Krill แถบถนน Oberdorf ลักษณะหรูหราแรกๆ เราก็ประหม่าเพราะมองเข้าไปมีแต่คนแต่งตัวเนี้ยบๆ เพียบ นั่งซดไวน์กันอักๆๆ แต่พอเห็นทีวีจอยักษ์ผมกับเจ้าปั๊ม ก็สลัดความลังเลเดินเข้าไปทันทีด้วยความหิวที่ประดังและความอยากจะลุ้นบอลคู่ชี้เป็นชี้ตาย
ผมเลือกเมนูที่รับประกันได้ว่าจะไม่ผิดหวังก็คือพิซซา ส่วนเจ้าปั๊ม เลือกสลัดเนื้อปรากฎว่าไม่อร่อยเลย แต่ก็กินหมดพิสูจน์ฉายาที่ได้มาเพราะความสามารถคือ "ตัวกันบูด" เราลิ้มรสอาหารพร้อมนั่งดู อิตาลี ยิงขึ้นนำ 1-0 จากจุดโทษของ อันเดรีย ปิร์โล สุดท้ายจึงกอดคอ ฮอลแลนด์ เข้ารอบไปอย่างเหลือเชื่อ
เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ลงตัวสุดๆ สำหรับผมในวันนี้ เพราะได้กินพิซซา เชียร์ อิตาลี ทีมรักในร้านอาหารอิตาเลี่ยน แถมได้เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย จบเกมผมบอกเจ้าปั๊ม ให้รีบกลับ เพราะพวกแฟนบอล ฝรั่งเศส เริ่มทยอยกลับด้วยสีหน้าหงุดหงิด กลัวจะมีเรื่องเพราะเราสองคนใบหน้าโอนเอียงไปทางนั้นอยู่แล้วด้วย กลัวตีผิดตัวว่าอย่างนั้นเถอะ