เงียบหายไปหนึ่งวันไม่มีการอัพเดตคอลัมน์ตะลุยยูโร 2008 แฟนๆ และแม่ยกของ "เด็กปั๊ม" ไม่ต้องขวัญเสียนะครับว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเดินทางหรือไม่ เพราะ "เซียนไก๋" รับอาสามาแจ้งข่าวว่าเราทั้งคู่ได้เหยียบแผ่นดิน สวิตเซอร์แลนด์ เรียบร้อยโดยสวัสดิภาพแล้ว ที่นิ่งไปเพราะอยู่ระหว่างขั้นตอนของการเดินทางวันแรกนั่นเอง
11 ชั่วโมงบนนกเหล็กไม่มีอะไรต้องพูดถึงมาก "เด็กปั๊ม" ทำอยู่ 3 อย่าง กิน นอน และ กรน พอเครื่องลงก็เป็นไปตามคำขู่ของเจ๊โอ๋ มือขวาบก.โต๊ะกีฬา เพราะเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มยิงคำถามเป็นชุด แต่ผมตอบได้ประโยคเดียวคืออยู่ที่นี่ 4 วันก่อนย้ายไป ออสเตรีย พร้อมกับเอาตั๋วบอลของเราไปตรวจว่าของจริงหรือไม่ด้วยกรรมวิธีผ่านแสงแบล็คไลท์ ก่อนจะเปิดไฟเขียวให้เข้าเมืองได้
อากาศที่นี่เย็นจนทำให้ต้องหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่แทบไม่ทันน่าจะประมาณ 10 กว่าองศาเห็นจะได้รู้สึกได้ทันทีที่ออกจากสนามบิน เราพักอยู่ใกล้ๆ กับสนามบินซูริค นั่งรถแค่ 5 นาทีเท่านั้น ทันทีที่โยนกระเป๋าเข้าห้องพักก็รีบบึ่งไปสถานีรถไฟเพื่อมุ่งหน้าไปลงยังสถานี ซูริค ฮัปท์บันห์นฮอฟ การเดินทางก็แสนสะดวกซื้อตั๋วครั้งเดียวอยู่ได้ทั้งวันขึ้นรถรางและรถไฟใต้ดินได้หมด
พอออกจากสถานี ซูริค ฮัปท์บันห์นฮอฟ เราเลือกใช้บริการรถรางเพื่อจะไปยัง พาราเดพลาทซ์ แต่มีปล่อยไก่เมื่อขึ้นผิดฝั่งแต่ดียังไหวตัวทันไม่เพลี่ยงพล้ำออกไปต่างเมือง พอถึงเป้าหมายเราเดินตะลอนๆ ไปตามถนน เฟรามุนสเตอร์ เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์บรรยากาศจึงเงียบเหงาร้านรวงขายของปิดทำการปล่อยให้ผมไปยืนน้ำลายไหลอยู่หน้าตู้ แต่ตลอดข้างทางก็เห็นชีวิตที่เรียบง่ายทั้งการเดินเกี่ยวแขนแบบรักยืนยงอย่างตายาย หรือแบบเป็นครอบครัวมีเรือพ่วงก็น่ารักไปอีกแบบ
ผมกับ "เด็กปั๊ม" เดินไปเรื่อยๆ ผลัดกันถ่ายรูปอารมณ์ประมาณคู่รักมาเดตก่อนจะไปถึง แฟนโซน ของ ซูริค ที่ไม่คึกครื้นมากนัก เพราะในวันนี้กลุ่มเอ โยกไปแข่งกันที่ บาเซิล เมื่อมีเวลาว่างเหลือเฟือจึงแวะควงแขนไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ชมเมือง คนละ 6 ฟรังสวิส (ประมาณ 180 บาท) เพื่อชมทัศนียภาพโดยรอบ ก่อนจะไปลิ้มลองอาหารพื้นบ้านไส้กรอก บราทวัร์สท์ กับขนมปังแข็งโป๊กปาหัวแตก ซึ่งถือเป็นมื้อแรกของเราทั้งคู่ที่นี่
พออิ่มท้องเราก็มีแรงเดินกันต่อ โดยไม่ลืมที่จะแวะตามร้านขายของที่ระลึกต่างๆ แน่นอน "เด็กปั๊ม" ตามประสาคนกิ๊กเยอะประเดิมจ่ายไป 100 กว่าฟรังสวิส (ประมาณ 3 พันกว่าบาท) ไม่กล้าบอกตัวเลขที่แท้จริงกลัวจะตกใจ เราตระเวนเดินกันจนเพลินเนื่องจากที่นี่มืดช้าท้องฟ้ายังสว่างแม้ว่าจะปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว เราจึงมีเวลาไม่มากที่จะหามื้อเย็นใส่ท้องเพราะต้องรีบไปดูบอลคู่ สวิตเซอร์แลนด์ พบ โปรตุเกส บริเวณแฟนโซน
อาหารมื้อที่สองค่อนข้างน่าผิดหวังทั้งของผมคือสปาเก็ตตีคาโบเนราที่หนักเครื่องหนักชีสจนเค็มปี๋ ส่วนเจ้า "เด็กปั๊ม" เลือกที่จะใส่พริกซะแดงแจ๋พร้อมตบด้วยเบียร์สวิส ที่รสชาติค่อนข้างจืดสนิทสู้บ้านเราไม่ได้ แม้ว่าใกล้เวลา 2 ทุ่ม 45 นาทีที่บอลจะเตะกันแล้ว แต่เราก็ยังเถลไถลแวะไปดูโคโยตีฝรั่งโยกย้ายส่ายสะโพกกันอย่างเมามัน ทำให้ต้องไปต่อแถวกันยาวเหยียดเพื่อเข้าไปในแฟนโซน
เราเลือกที่จะดูคู่นี้แค่จบครึ่งแรกเท่านั้นเนื่องจากวันแรกยังไม่รู้เวลาเกี่ยวกับการคมนาคมเท่าที่ควรกลัวจะตกรถไม่มีที่ซุกหัวนอน อีกทั้งเกมก็ไม่มีผลอะไรแล้ว ขากลับเราเสี่ยงเลือกไปดักรถไฟที่จะมุ่งมาจาก ซูริค ฮัปท์บันห์นฮอฟ เพื่อไปลงที่ โคลเซน ใกล้กับที่พักซึ่งก็ไม่ผิดหวังเดินแค่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว
ทุลักทุเลพอสมควรสำหรับวันแรกของผมกับเจ้าปั๊ม ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาต่างบ้านต่างถิ่นที่ไม่เคยไป ซึ่งก็หวังว่าในวันต่อไปอะไรๆ จะราบรื่นกว่านี้ โดยในวันพรุ่งนี้เราวางแผนกันเอาไว้ว่าจะไปที่ เบิร์น และก็เป็นหน้าที่ของ "เด็กปั๊ม" ที่จะต้องมาถ่ายทอดวีรกรรมผลัดกันไปวันเว้นวันจนเสร็จภารกิจนี้
11 ชั่วโมงบนนกเหล็กไม่มีอะไรต้องพูดถึงมาก "เด็กปั๊ม" ทำอยู่ 3 อย่าง กิน นอน และ กรน พอเครื่องลงก็เป็นไปตามคำขู่ของเจ๊โอ๋ มือขวาบก.โต๊ะกีฬา เพราะเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มยิงคำถามเป็นชุด แต่ผมตอบได้ประโยคเดียวคืออยู่ที่นี่ 4 วันก่อนย้ายไป ออสเตรีย พร้อมกับเอาตั๋วบอลของเราไปตรวจว่าของจริงหรือไม่ด้วยกรรมวิธีผ่านแสงแบล็คไลท์ ก่อนจะเปิดไฟเขียวให้เข้าเมืองได้
อากาศที่นี่เย็นจนทำให้ต้องหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่แทบไม่ทันน่าจะประมาณ 10 กว่าองศาเห็นจะได้รู้สึกได้ทันทีที่ออกจากสนามบิน เราพักอยู่ใกล้ๆ กับสนามบินซูริค นั่งรถแค่ 5 นาทีเท่านั้น ทันทีที่โยนกระเป๋าเข้าห้องพักก็รีบบึ่งไปสถานีรถไฟเพื่อมุ่งหน้าไปลงยังสถานี ซูริค ฮัปท์บันห์นฮอฟ การเดินทางก็แสนสะดวกซื้อตั๋วครั้งเดียวอยู่ได้ทั้งวันขึ้นรถรางและรถไฟใต้ดินได้หมด
พอออกจากสถานี ซูริค ฮัปท์บันห์นฮอฟ เราเลือกใช้บริการรถรางเพื่อจะไปยัง พาราเดพลาทซ์ แต่มีปล่อยไก่เมื่อขึ้นผิดฝั่งแต่ดียังไหวตัวทันไม่เพลี่ยงพล้ำออกไปต่างเมือง พอถึงเป้าหมายเราเดินตะลอนๆ ไปตามถนน เฟรามุนสเตอร์ เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์บรรยากาศจึงเงียบเหงาร้านรวงขายของปิดทำการปล่อยให้ผมไปยืนน้ำลายไหลอยู่หน้าตู้ แต่ตลอดข้างทางก็เห็นชีวิตที่เรียบง่ายทั้งการเดินเกี่ยวแขนแบบรักยืนยงอย่างตายาย หรือแบบเป็นครอบครัวมีเรือพ่วงก็น่ารักไปอีกแบบ
ผมกับ "เด็กปั๊ม" เดินไปเรื่อยๆ ผลัดกันถ่ายรูปอารมณ์ประมาณคู่รักมาเดตก่อนจะไปถึง แฟนโซน ของ ซูริค ที่ไม่คึกครื้นมากนัก เพราะในวันนี้กลุ่มเอ โยกไปแข่งกันที่ บาเซิล เมื่อมีเวลาว่างเหลือเฟือจึงแวะควงแขนไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ชมเมือง คนละ 6 ฟรังสวิส (ประมาณ 180 บาท) เพื่อชมทัศนียภาพโดยรอบ ก่อนจะไปลิ้มลองอาหารพื้นบ้านไส้กรอก บราทวัร์สท์ กับขนมปังแข็งโป๊กปาหัวแตก ซึ่งถือเป็นมื้อแรกของเราทั้งคู่ที่นี่
พออิ่มท้องเราก็มีแรงเดินกันต่อ โดยไม่ลืมที่จะแวะตามร้านขายของที่ระลึกต่างๆ แน่นอน "เด็กปั๊ม" ตามประสาคนกิ๊กเยอะประเดิมจ่ายไป 100 กว่าฟรังสวิส (ประมาณ 3 พันกว่าบาท) ไม่กล้าบอกตัวเลขที่แท้จริงกลัวจะตกใจ เราตระเวนเดินกันจนเพลินเนื่องจากที่นี่มืดช้าท้องฟ้ายังสว่างแม้ว่าจะปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว เราจึงมีเวลาไม่มากที่จะหามื้อเย็นใส่ท้องเพราะต้องรีบไปดูบอลคู่ สวิตเซอร์แลนด์ พบ โปรตุเกส บริเวณแฟนโซน
อาหารมื้อที่สองค่อนข้างน่าผิดหวังทั้งของผมคือสปาเก็ตตีคาโบเนราที่หนักเครื่องหนักชีสจนเค็มปี๋ ส่วนเจ้า "เด็กปั๊ม" เลือกที่จะใส่พริกซะแดงแจ๋พร้อมตบด้วยเบียร์สวิส ที่รสชาติค่อนข้างจืดสนิทสู้บ้านเราไม่ได้ แม้ว่าใกล้เวลา 2 ทุ่ม 45 นาทีที่บอลจะเตะกันแล้ว แต่เราก็ยังเถลไถลแวะไปดูโคโยตีฝรั่งโยกย้ายส่ายสะโพกกันอย่างเมามัน ทำให้ต้องไปต่อแถวกันยาวเหยียดเพื่อเข้าไปในแฟนโซน
เราเลือกที่จะดูคู่นี้แค่จบครึ่งแรกเท่านั้นเนื่องจากวันแรกยังไม่รู้เวลาเกี่ยวกับการคมนาคมเท่าที่ควรกลัวจะตกรถไม่มีที่ซุกหัวนอน อีกทั้งเกมก็ไม่มีผลอะไรแล้ว ขากลับเราเสี่ยงเลือกไปดักรถไฟที่จะมุ่งมาจาก ซูริค ฮัปท์บันห์นฮอฟ เพื่อไปลงที่ โคลเซน ใกล้กับที่พักซึ่งก็ไม่ผิดหวังเดินแค่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว
ทุลักทุเลพอสมควรสำหรับวันแรกของผมกับเจ้าปั๊ม ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาต่างบ้านต่างถิ่นที่ไม่เคยไป ซึ่งก็หวังว่าในวันต่อไปอะไรๆ จะราบรื่นกว่านี้ โดยในวันพรุ่งนี้เราวางแผนกันเอาไว้ว่าจะไปที่ เบิร์น และก็เป็นหน้าที่ของ "เด็กปั๊ม" ที่จะต้องมาถ่ายทอดวีรกรรมผลัดกันไปวันเว้นวันจนเสร็จภารกิจนี้