เอฟเอ คัพ โทรฟีย์ชิงชัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกของเกาะอังกฤษ แฝงไปด้วยอาถรรพ์ที่รู้จักกันดีคือแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ แต่คงไม่มีฤดูกาลไหนพลิกล็อกมโหฬารเท่าหนนี้เพราะคู่ชิงเป็นการเจอกันของสองทีมต่าง ดิวิชัน ปอร์ทสมัธ พบกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี โดยจะเตะกันที่ นิว เวมบลีย์ ในวันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคมนี้ในเวลา 3 ทุ่มตรง
แน่นอน ปอร์ทสมัธ ที่เขี่ย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ตามด้วยเฉือนชนะ เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน 1-0 ในรอบตัดเชือก คือเต็งจ๋าเมื่อดูจากชื่อชั้นที่เหนือกว่า หากทำสำเร็จจะถือเป็นสโมสรแรกนอก "บิ๊ก โฟร์" ที่คว้าแชมป์ต่อจาก เอฟเวอร์ตัน ที่ทำเอาไว้ในปี 1995 และจะถือเป็นแชมป์สมัยที่ 2 ของตัวเองต่อจากปี 1939
คาร์ดิฟฟ์ อดีตแชมป์ในปี 1927 ต้องบอกว่าโชคดีที่จับเจอคู่ต่อสู้ไม่แข็ง แกร่งสุดเห็นจะเป็น มิดเดิลสโบรช์ ในรอบ 8 ทีมแต่ก็ผ่านมาได้ ทำให้กลายเป็นทีมนอก พรีเมียร์ชิป ที่ได้เข้าชิงต่อจาก มิลล์วอลล์ เคยทำไว้ในปี 2004 ซึ่งหากคว้าแชมป์จะเป็นทีมนอกลีกสูงสุดที่คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ต่อจาก เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด ที่ทำเอาไว้ในปี 1980 อีกด้วย
ตลอดประวัติศาสตร์ 126 ครั้งที่ผ่านมาทั้งคู่ไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยใน เอฟเอ คัพ ที่สำคัญไม่เคยอยู่ใน ดิวิชัน เดียวกันมานานถึง 23 ปีแล้ว ครั้งสุดท้ายคือ ดิวิชัน 2 เมื่อฤดูกาล 1984-95 จากนั้นเคยพบกันใน ลีก คัพ มา 3 ฤดูกาล ครั้งล่าสุดคือในปี 2004-05 รอบ 4 และเป็น ปอร์ทสมัธ ที่เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ ไปได้ 2-0
ปอร์ทสมัธ ของกุนซือ แฮร์รี เรดแน็ปป์ ดูจะใจลอยไป นิว เวมบลีย์ ตั้งแต่ทันทีที่ผ่านเข้าไปชิง เพราะว่าหลังจากนั้นใน พรีเมียร์ชิป 6 นัดหลังสุดชนะแค่นัดเดียวเท่านั้นแถมแพ้ไปถึง 4 นัด ทำให้จบฤดูกาลด้วยอันดับ 8 หากแพ้ในนัดชิงก็ต้องเรียกว่าสวรรค์ล่มอย่างแท้จริง ส่วน คาร์ดิฟฟ์ ไม่มีอะไรจะเสียเพราะ เดอะ แชมเปียนส์ ชิป จบด้วยอันดับ 12
ที่สำคัญทางด้าน คาร์ดิฟฟ์ น่าจะมีกำลังใจมากกว่า แถมโยนความกดดันไปให้กับ ปอร์ทสมัธ เพราะทาง สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป ยืนยันแล้วว่าหาก "บลูเบิร์ด" คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ก็จะเปิดทางให้ไปลุยศึก ยูฟา คัพ ในฤดูกาลหน้าแน่นอน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการถกเถียงกันเพราะว่าเป็นทีมจากเวลส์ แถมยังอนุญาตให้เปิดเพลงชาติก่อนเกมได้อีกด้วย
เรดแน็ปป์ ออกมาเผยถึงเรื่องนี้ว่า "ถ้า คาร์ดิฟฟ์ ชนะ ผมก็ขอสนับสนุน 100 ล้านเปอร์เซ็นต์ที่จะให้สิทธิพวกเขาไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรป ถ้าพวกเขาคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ก็น่าจะได้ไปเล่นเป็นธรรมดา แล้วมันผิดตรงไหนไม่ทราบ? พวกเขาสมควรได้รับรางวัลกับการเล่นในฟุตบอลถ้วยยุโรป ไม่งั้นจะเข้ามาแข่งทำไมตั้งแต่แรก"
ปอร์ทสมัธ ได้รับข่าวดีเมื่อ เดวิด เจมส์ นายทวารทีมชาติอังกฤษ วัย 37 ปี ที่ได้รับบาดเจ็บน่องจนวืดลงเล่นในเกมลีก 3 นัดสุดท้าย จะลงเฝ้าเสาได้ในเกมนี้ เช่นเดียวกับ โซล แคมป์เบลล์ กองหลังจอมเก๋า ที่เจ็บเอ็นหลังหัวเข่าไม่ได้เล่นในเกมนัดที่แพ้ ฟูแลม ก็จะพร้อมลงค้ำแนวรับ รวมถึง ปาปา ปูปา ดิย็อป กองกลางทีมชาติเซเนกัล ก็กลับมาซ้อมได้แล้ว
แต่ที่น่าเสียดายคือ ปอร์ทสมัธ หมดสิทธิใช้บริการของ เจอร์เมน เดโฟ หอกร่างจิ๋วที่ติดคัพไท เพราะเคยเล่นให้กับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ มาแล้ว ตำแหน่งกองหน้าตัวหลักจึงน่าจะเป็น เอ็นวานโก คานู หากว่า เรดแน็ปป์ กลับไปเล่นระบบ 4-5-1 ตามถนัด โดยอาจจะมี มิลาน บารอส ที่ยืมมาจาก โอลิมปิก ลียง และ เดวิด นูเจนท์ เป็นตัวสอดแทรก
ทางฝั่ง เดฟ โจนส์ ผู้จัดการทีม คาร์ดิฟฟ์ ไม่มีปัญหาในการจัดทัพน่าจะส่งตัวสดๆ ลงไปอัดก่อนไม่ว่าจะเป็น พอล แพร์รี และ โจ เล็ดลีย์ สองกองกลางห้องเครื่องที่ฟอร์มสุดฮอตซัดไปแล้วคนละ 10 ประตูในฤดูกาลนี้ ซึ่งก่อนเกมชิงดำกุนซือที่ไม่เคยพาทีมเข้าชิงมาก่อนก็ออกมาโยนความกดดันให้กับ ปอร์ทสมัธ ทันที
"ปอร์ทสมัธ เป็นทีมที่มีศักยภาพและเต็มไปด้วยนักเตะฝีเท้าดี แน่นอนความกดดันอยู่ที่พวกเขาซึ่งจะต้องชนะให้ได้ เรดแน็ปป์ ก็คือยอดกุนซือที่สมควรได้รับเครดิต แต่ผมก็หวังว่าคงจะไม่ใช่ในวันเสาร์นี้ นี่เป็นสิ่งที่นักเตะทุกคนฝันถึงและนำทีมออกมาพร้อมคว้าเกียรติยศนี้" นายใหญ่ประจำถิ่น นิเนียน ปาร์ค เผย
คาร์ดิฟฟ์ เป็นทีมที่อัดแน่นไปด้วยนักเตะจอมเก๋าที่พร้อมลงมาพลิกเกมทั้ง จิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์, ร็อบบี ฟาวเลอร์, เทรเวอร์ ซินแคลร์ และ ปีเตอร์ เอ็งเคิลแมน รวมถึงพวกที่เคยเล่นใน พรีเมียร์ชิป ทั้ง ดาร์เรน เพิร์ส, สตีเฟน แม็คเฟล, ริคคาร์โด ชิเมกา และ ปีเตอร์ วิทติงแฮม และยังมี อารอน แรมซีย์ ดาวรุ่งวัย 17 ปีที่ แมนฯยู อยากได้ด้วย
ฟันธง ตรงเผง โดย เซียนไก๋ เจริญกรุง
บลูเบิร์ด ถึงแชมป์ 2-1