หลังจบการแข่งขันกอล์ฟลูกผลสมเอเชี่ยน - เจแปน ทัวร์รายการปักกิ่ง โอเพ่นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแม้ว่าแฟนสวิงเมืองไทยจะสุดแสนเสียดายกับโอกาสคว้าแชมป์ของ "เจ้าหนึ่ง" ชินรัตน์ ผดุงศิลป์ ที่พลาดไปในช่วง 9 หลุมหลังและจบด้วยอันดับที่ 7 แต่ในรายการเดียวกันนี้ยังพอมีข่าวดีสำหรับวงการสวิงไทยอยู่บ้างเมื่อเว็บไซต์ของเอเชี่ยนทัวร์ ได้ประกาศว่า เชาวลิต พลาผล กลายเป็นนักกอล์ฟอีกรายที่สามารถทำเงินทำเงินรางวัลได้เกินหลักหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังจากจบการแข่งขันที่สนามไพน์วัลเลย์ ในอันดับที่ 35
โดยเงินรางวัลสะสมของชวลิตไปอยู่ที่ 1,002,284 เหรียญสหรัฐฯกลายเป็นนักกอล์ฟรายที่ 7 ของเมืองไทยและเป็นคนที่ 21 ในเอเชียที่สามารถทำยอดเงินรางวัลได้ทะลุหลักล้าน โดยสถิติของ ชวลิตในครั้งนี้เมื่อรวมกับนักกอล์ฟไทยอีก 6 รายได้แสดงให้เห็นโปรจากเมืองไทยยังคงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวสำหรับนักกอล์ฟรายอื่นในเอเชี่ยนทัวร์
เมื่อมีสถิติดีขนาดนี้ถามว่าแล้วเมื่อไรฤดูกาล 2008 จะมีโปรไทยที่สามารถคว้าแชมป์ประเดิมได้สักที เพราะนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมาผลงานวันสุดท้ายที่ดีที่สุดของนักกอล์ฟไทยในเอเชี่ยนทัวร์ ตกเป็นของ พรหม มีสวัสดิ์ กับอันดับที่สามในรายการ เอนจอย จาการ์ต้า แอสโทร อินโดนีเซีย โอเพ่น
ขณะที่อันดับเงินรายได้ยังไม่มีใครติดอยู่ในท้อปเทนดีที่สุดคือ ประหยัด มากแสดง ในลำดับที่ 13 ด้วยเงินรางวัลสะสมนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลอยู่ที่ 150,487 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.8 ล้านบาท) จากการลงสนามทั้งหมด 8 รายการ รองลงมาคือเจ้าโลมายักษ์ พรหม มีสวัสดิ์ ในอันดับที่ 22 ด้วยตัวเลขรายได้ 103,516เหรียญสหรัฐฯ(ประมาณ 3.3 ล้านบาท) จาก 9 ทัวร์นาเม้นท์ และที่ยังติดอยู่ในท้อป 30 ของตารางรายได้คือ ถาวร วิรัตน์จันทร์อดีตโปรหมายเลขหนึ่งเอเชีย ที่ระยะหลังฟอร์มเริ่มแผ่วลงโดยตัวเลขจากการแข่งขันทั้งสิ้น 12 รายการอยู่ในอันดับที่ 24 จำนวนเงิน 93,808 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3 ล้านบาท)
จะเห็นได้ว่าพื้นที่ในท้อป 10 ของตารางรายได้รวมหรือ ออร์เดอร์ออฟเมอริทฤดูกาล 2008 นักกอล์ฟชาวไทยถูกปัดร่วงลงมาจากเดิมไม่น้อยซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงครึ่งฤดูกาลแรกของเอเชี่ยนทัวร์นั้นเกือบจะทั้งหมดคือรายการที่เรียกว่า Co-Sanction หรือลูกผสม ไม่ว่าจะเป็นยูโรเปี้ยนทัวร์ ออสเตรเลี่ยนทัวร์ หรือ เจแปนทัวร์
โดยข้อดีที่นำเอารายการในแต่ละทัวร์ของภูมิภาคมารวมกันคือเงินรางวัลสูงขึ้นและนักกอล์ฟจะได้พัฒนาฝีมือมากขึ้นเพราะคู่แข่งในแต่ละทัวร์นาเม้นท์ล้วนมากฝีมือ ขณะที่บางรายการซึ่งร่วมจัดกับยูโรเปี้ยนทัวร์ ก็จะกลายเป็นโอกาสทองของนักกอล์ฟผู้คว้าแชมป์ซึ่งจะได้สิทธิลงสนามยูโรเปี้ยน พีจีเอทัวร์เต็มหนึ่งฤดูกาลทันที
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีหลังของเอเชี่ยนทัวร์ แม้ว่าจะทำให้เหล่าสวิงไทยต้องทำงานหนักขึ้นแต่ก็ถือว่าเป็นบันไดก้าวสำคัญสำหรับโปรรุ่นใหม่ที่จะเจริญรอยตามรุ่นพี่อย่าง ธงชัย ใจดี ที่ประสบความสำเร็จจนได้โลดแล่นอยู่ในยูโรเปี้ยนทัวร์ หรือแม้แต่ ประหยัด มากแสง ที่ได้รับเชิญให้ลงสนามกอล์ฟรายการเมเจอร์สอย่างเดอะ มาสเตอร์ส เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ส่วนรายการใดจะเป็นแชมป์แรกสำหรับโปรไทยในครึ่งฤดูกาลแรกนี้โอกาสมากที่สุดน่าจะอยู่ที่การแข่งขันบางกองแอร์เวย์ส โอเพ่น ณ สนามกอล์ฟ สันติบุรี เกาะสมุย แม้ว่าปีก่อน "ซุง ลี" โปรจากเกาหลีจะบุกมาคว้าแชมป์ไปครอง แต่ต้องไม่ลืมว่านักกอล์ฟที่ลงสนามซึ่งมีเงินรางวัลรวมสามแสนเหรียญสหรัฐฯนั้นได้เปรียบในฐานะเจ้าถิ่นที่คุ้นเคยกับสภาพสนามและอากาศ ดังนั้นหากจะโฟกัสโอกาสคว้าแชมป์ไปที่ ก๊วนดาวรุ่งอย่าง พรหม มีสวัสดิ์, ชินรัตน์ ผดุงศิลป์ และ ชัพชัย นิราศ หรือโปรรุ่นพี่อย่าง ประหยัด มากแสง ถาวร วิรัตน์จันทร์ ธงชัย ใจดี เชาวลิต พลาผล และธรรมนูญ ศรีโรจน์ ก็คงไม่ถือว่าเป็นเรื่องเกินเลยความเป็นไปได้
ทั้งนี้หลังจบการแข่งขันบนเกาะสมุยทัวร์นาเม้นท์ของเอเชี่ยนทัวร์ จะเข้าสู่ช่วงพักครึ่งประมาณหนึ่งเดือน ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในรายการอินโดนีเซีย เพรสซิเด้นท์ อินวิเทชั่น ระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคมจากนั้นจะเหลืออีกประมาณ 15 ทัวร์นาเม้นท์ให้เหล่าโปรในเอเชี่ยนทัวร์ได้ร่วมชิงชัยเพื่อสะสมเงินรางวัลในออร์เดอร์ ออฟ เมอริท ถึงเวลานั้นเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลหากยังคงไร้ชื่อโปรไทยในท้อป 5 ของตารางรายได้เอเชี่ยนทัวร์ นี่จะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 ที่นักกอล์ฟไทยประสบความสำเร็จน้อยที่สุดในวงการกอล์ฟของเอเชีย