กลาสโกว์ เรนเจอร์ส อาศัยมหาอุดยันเสมอ ฟิออเรนตินา ก่อนดวลเป้าชนะไป 4-2 ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ประจำฤดูกาล 2007/08 พบกับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ที่พลิกล็อกถล่ม “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค 4-0
ศึกฟุตบอล ยูฟ่า คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง
ฟิออเรนตินา (อิตาลี) 0-0 กลาสโกว์ เรนเจอร์ส (สกอตแลนด์)
(120 นาทียังเสมอกัน เรนเจอร์ส ยิงจุดโทษชนะ 4-2 เข้าไปชิงชนะเลิศ)
บุกไปเสมอมาได้ก่อนในนัดแรก 0-0 เซซาเร ปรันเดลลี นำทัพ “ม่วงมหากาฬ” ฟิออเรนตินา กลับมาเปิดอาร์เตมิโอ ฟรังคี รับมือ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส โดยเจ้าถิ่นได้ มาร์โก โดนาเดล พ้นโทษแบนกลับมาคุมแดนกลาง ส่วนแนวรุกก็ได้ จามเปาโล ปาสซินี มาช่วย อาเดรียน มูตู ล่าตาข่าย ด้าน วอลเตอร์ สมิธ กุนซือทีมเยือนได้ทั้ง แบร์รี เฟอร์กูสัน และเควิน ธอร์มสัน กลับมาเสริมกลาง และก็วางแผนให้เน้นรับเป็นพิเศษห้อยไว้เพียง ฌอง โคลด ดาร์กเชอวิลล์ ในแดนหน้า
เริ่มเกมการแข่งขัน ฟิออเรนตินา ซึ่งประกาศพร้อมเดินหน้าบุกเต็มสูบลงมาเดินเกมรุกใส่ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ทันที แต่ทีมดังจากสกอตติชพรีเมียร์ลีกยังขึงเกมรับกางกำลังคุมพื้นที่ป้องกันได้เป็นอย่างดี และก็คอยหาจังหวะโต้กลับให้ ฌอง โคลด ดาร์กเชอวิลล์ ลุ้นทำประตูทำให้ช่วง 15 นาทีแรก “ม่วงมหากาฬ” ค่อนข้างอึดอัดทีเดียวกับแท็คติกของผู้มาเยือน ริคคาร์โด มอนโตลิโว ต้องอาศัยจังหวะลองซัดไกลดูแต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับ นีล อเล็กซานเดอร์
ผ่านครึ่งทางของครึ่งแรกเจ้าถิ่นยังหาทางเจาะเกมรับอันแข็งแกร่งของทีมเยือนไม่ได้ แต่การลากตะลุย มอนโตลิโว เกือบเป็นผลเมื่อมิดฟิลด์ ฟิออเรนตินา ได้เปิดจากสุดเส้นหลังฝั่งซ้ายเข้ากลางแต่บอลดันย้อนหลัง จามเปาโล ปาสซินี ก่อนโดนเคลียร์ออกมา ครึ่งชั่วโมงพอดี ฟาบิโอ ลิเวรานี ลองยิงไกลบ้างแต่ก็ยังติดผู้เล่น เรนเจอร์ส กระดอนออกไปอีก ท้ายครึ่งแรก เซซาเร ปรันเดลลี ต้องถอด มาร์โก โดนาเดล ออกมาเนื่องจากมีอาการเจ็บและก็ให้ ซดราฟโก คุซมาโนวิช ลงไปเล่นแทน จบ 45 นาทีแรกสกอร์ยังตรึงอยู่ที่ 0-0
ลงมาลุยต่อในครึ่งหลัง ฟิออเรนตินา ยังคงเดินหน้าหาประตูแรกต่อไป อาเดรียน มูตู ถ่างมาเล่นด้านข้างก่อนเปิดจากซ้ายเข้ากลางให้ ปาสซินี ตวัดยิงเร็วแต่บอลก็ได้แค่เฉียดเสาไป นาทีที่ 53 เจ้าถิ่นได้ลุ้นอีกครั้ง มูตู โหนตัวขึ้นไปโหม่งแต่ก็ยังส่งลูกหนังเข้ากรอบไม่ได้ อีกห้านาทีถัดมาแฟนๆ ในฟลอเรนซ์เกือบได้เฮเมื่อ โทมัส อูจ์ฟาลูซี เติมขึ้นมาเล่นลูกเตะมุมและก็ได้หมุนตัววอลเลย์ส่งบอลเฉียดคานไปหวุดหวิดที่สุด
หนึ่งชั่วโมง วอลเตอร์ สมิธ แก้เกมให้ทีมเยือนบ้างส่ง ดาเนียล กูแซ็ง ลงมายืนเป็นหอกตัวเป้าแทน ดาร์กเชอวิลล์ แต่โอกาสก็ยังเป็นของเจ้าบ้านฝ่ายเดียว มูตู ลองตะบันฟรีคิกไกลกว่า 35 หลาร้อนถึง อเล็กซานเดอร์ ต้องปัดออกมาก่อนตามตะครุบอีกหนึ่งจังหวะ เข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้าย เรนเจอร์ส ได้ลุ้นกับเขาบ้าง กูแซ็ง โขกต่อให้ สตีเวน เดวิส ได้ยิงในกรอบโทษแต่ เซบาสเตียน เฟรย์ ไม่เผลอล้มตัวรับไว้ได้ ท้ายเกมทีมเยือนเกือบช็อกเจ้าบ้าน เควิน ธอร์มสัน ปั่นบอลกำลังจะเสียบเสาแต่ เฟรย์ โชว์ซูเปอร์เซฟ ครบ 90 นาทียังทำอะไรกันไม่ได้ สกอร์รวมสองนัดยังเจ๊าที่ 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
เปิดฉากการต่อเวลา คริสเตียน วิเอรี ดาวยิงตัวเก๋าซึ่งถูกส่งลงสนามปลายครึ่งหลังเกือบทำให้เจ้าถิ่นได้เฮเมื่อหลุดไปยิงด้วยซ้ายข้างถนัดบอลหลุดเสาสองไปอย่างน่าเสียดาย นาทีสุดท้ายของครึ่งแรกช่วงต่อเวลา เรนเจอร์ส ลุ้นจากฟรีคิก ธอร์มสัน เปิดให้ กูแซ็ง กระโดดขวิดไปตรงตัว เฟรย์ อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นการต่อเวลาครึ่งหลังทีมเยือนเหลือผู้เล่นแค่ 10 คนเมื่อ กูแซ็ง ฟิวส์ขาดเฮดบัตต์ใส่ ลิเวรานี จนโดนใบเหลือง-แดง แต่ครบ 120 นาที ฟิออเรนตินา ก็ไม่สามารถทะลวงประตูได้ต้องตัดสินถึงฎีกาด้วยการยิงจุดโทษ
ซึ่งปรากฏว่า เรนเจอร์ส แม่นกว่าชนะไป ฟิออเรนตินา 4-2 ถึงแม้ แบร์รี เฟอร์กูสัน กัปตันทีมเยือนจะพลาดก่อนแต่ทั้ง วิทเทคเกอร์, ปาปัช, เฮมดานี, นาโช โนโบ ยิงเข้าทั้งหมด ส่วนเจ้าถิ่น คุซมาโนวิช, มอนโตลิโว ไม่พลาด แต่เป็น ลิเวรานี (โดนเซฟ) และวิเอรี (ยิงข้ามคาน) ทำให้ เรนเจอร์ส เข้าไปชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ กับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ซิตี ออฟ แมนเชสเตอร์ สังเวียนแข้ง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ของอังกฤษ
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีม
ฟิออเรนตินา : เซบาสเตียน เฟรย์ , มาร์ติน ยอร์เกนเซน , โทมัส อูจ์ฟาลูซี , อเลสซานโดร กัมเบรินี , มัสซิโม ก็อบบี , มาร์โก โดนาเดล , ฟาบิโอ ลิเวรานี , ริคคาร์โด มอนโตลิโว , มาริโอ ซานตานา , จามเปาโล ปาสซินี , อาเดรียน มูตู
เรนเจอร์ส : นีล อเล็กซานเดอร์ , เคิร์ก บรอตฟุต , เดวิด เวียร์ , คาร์ลอส กูเอยาร์ , ซาซา ปาปัช , บราฮิม เฮมดานี , สตีเวน เดวิส , แบร์รี เฟอร์กูสัน , เควิน ธอร์มสัน , สตีเวน วิทเทคเกอร์ , ฌอง โคลด ดาร์กเชอวิลล์
ส่วนผลการแข่งขันในรอบตัดเชือกอีกคู่หนึ่ง ปรากฏว่า เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก พลิกล็อกเปิดบ้านไล่ถล่ม “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี 4-0 โดยได้ประตูจากการเบิ้ลสกอร์ของ พาเวล โปเกรบเนียค (นาทีที่ 5 และ 73), คอนสแตนติน ซูเรียนอฟ (น.39), วิคเตอร์ ฟายซูลิน (น.56) ทำให้ทีมม้ามืดจากรัสเซียได้ผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ด้วยสกอร์รวมสองนัด 5-1
ศึกฟุตบอล ยูฟ่า คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง
ฟิออเรนตินา (อิตาลี) 0-0 กลาสโกว์ เรนเจอร์ส (สกอตแลนด์)
(120 นาทียังเสมอกัน เรนเจอร์ส ยิงจุดโทษชนะ 4-2 เข้าไปชิงชนะเลิศ)
บุกไปเสมอมาได้ก่อนในนัดแรก 0-0 เซซาเร ปรันเดลลี นำทัพ “ม่วงมหากาฬ” ฟิออเรนตินา กลับมาเปิดอาร์เตมิโอ ฟรังคี รับมือ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส โดยเจ้าถิ่นได้ มาร์โก โดนาเดล พ้นโทษแบนกลับมาคุมแดนกลาง ส่วนแนวรุกก็ได้ จามเปาโล ปาสซินี มาช่วย อาเดรียน มูตู ล่าตาข่าย ด้าน วอลเตอร์ สมิธ กุนซือทีมเยือนได้ทั้ง แบร์รี เฟอร์กูสัน และเควิน ธอร์มสัน กลับมาเสริมกลาง และก็วางแผนให้เน้นรับเป็นพิเศษห้อยไว้เพียง ฌอง โคลด ดาร์กเชอวิลล์ ในแดนหน้า
เริ่มเกมการแข่งขัน ฟิออเรนตินา ซึ่งประกาศพร้อมเดินหน้าบุกเต็มสูบลงมาเดินเกมรุกใส่ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ทันที แต่ทีมดังจากสกอตติชพรีเมียร์ลีกยังขึงเกมรับกางกำลังคุมพื้นที่ป้องกันได้เป็นอย่างดี และก็คอยหาจังหวะโต้กลับให้ ฌอง โคลด ดาร์กเชอวิลล์ ลุ้นทำประตูทำให้ช่วง 15 นาทีแรก “ม่วงมหากาฬ” ค่อนข้างอึดอัดทีเดียวกับแท็คติกของผู้มาเยือน ริคคาร์โด มอนโตลิโว ต้องอาศัยจังหวะลองซัดไกลดูแต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับ นีล อเล็กซานเดอร์
ผ่านครึ่งทางของครึ่งแรกเจ้าถิ่นยังหาทางเจาะเกมรับอันแข็งแกร่งของทีมเยือนไม่ได้ แต่การลากตะลุย มอนโตลิโว เกือบเป็นผลเมื่อมิดฟิลด์ ฟิออเรนตินา ได้เปิดจากสุดเส้นหลังฝั่งซ้ายเข้ากลางแต่บอลดันย้อนหลัง จามเปาโล ปาสซินี ก่อนโดนเคลียร์ออกมา ครึ่งชั่วโมงพอดี ฟาบิโอ ลิเวรานี ลองยิงไกลบ้างแต่ก็ยังติดผู้เล่น เรนเจอร์ส กระดอนออกไปอีก ท้ายครึ่งแรก เซซาเร ปรันเดลลี ต้องถอด มาร์โก โดนาเดล ออกมาเนื่องจากมีอาการเจ็บและก็ให้ ซดราฟโก คุซมาโนวิช ลงไปเล่นแทน จบ 45 นาทีแรกสกอร์ยังตรึงอยู่ที่ 0-0
ลงมาลุยต่อในครึ่งหลัง ฟิออเรนตินา ยังคงเดินหน้าหาประตูแรกต่อไป อาเดรียน มูตู ถ่างมาเล่นด้านข้างก่อนเปิดจากซ้ายเข้ากลางให้ ปาสซินี ตวัดยิงเร็วแต่บอลก็ได้แค่เฉียดเสาไป นาทีที่ 53 เจ้าถิ่นได้ลุ้นอีกครั้ง มูตู โหนตัวขึ้นไปโหม่งแต่ก็ยังส่งลูกหนังเข้ากรอบไม่ได้ อีกห้านาทีถัดมาแฟนๆ ในฟลอเรนซ์เกือบได้เฮเมื่อ โทมัส อูจ์ฟาลูซี เติมขึ้นมาเล่นลูกเตะมุมและก็ได้หมุนตัววอลเลย์ส่งบอลเฉียดคานไปหวุดหวิดที่สุด
หนึ่งชั่วโมง วอลเตอร์ สมิธ แก้เกมให้ทีมเยือนบ้างส่ง ดาเนียล กูแซ็ง ลงมายืนเป็นหอกตัวเป้าแทน ดาร์กเชอวิลล์ แต่โอกาสก็ยังเป็นของเจ้าบ้านฝ่ายเดียว มูตู ลองตะบันฟรีคิกไกลกว่า 35 หลาร้อนถึง อเล็กซานเดอร์ ต้องปัดออกมาก่อนตามตะครุบอีกหนึ่งจังหวะ เข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้าย เรนเจอร์ส ได้ลุ้นกับเขาบ้าง กูแซ็ง โขกต่อให้ สตีเวน เดวิส ได้ยิงในกรอบโทษแต่ เซบาสเตียน เฟรย์ ไม่เผลอล้มตัวรับไว้ได้ ท้ายเกมทีมเยือนเกือบช็อกเจ้าบ้าน เควิน ธอร์มสัน ปั่นบอลกำลังจะเสียบเสาแต่ เฟรย์ โชว์ซูเปอร์เซฟ ครบ 90 นาทียังทำอะไรกันไม่ได้ สกอร์รวมสองนัดยังเจ๊าที่ 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
เปิดฉากการต่อเวลา คริสเตียน วิเอรี ดาวยิงตัวเก๋าซึ่งถูกส่งลงสนามปลายครึ่งหลังเกือบทำให้เจ้าถิ่นได้เฮเมื่อหลุดไปยิงด้วยซ้ายข้างถนัดบอลหลุดเสาสองไปอย่างน่าเสียดาย นาทีสุดท้ายของครึ่งแรกช่วงต่อเวลา เรนเจอร์ส ลุ้นจากฟรีคิก ธอร์มสัน เปิดให้ กูแซ็ง กระโดดขวิดไปตรงตัว เฟรย์ อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นการต่อเวลาครึ่งหลังทีมเยือนเหลือผู้เล่นแค่ 10 คนเมื่อ กูแซ็ง ฟิวส์ขาดเฮดบัตต์ใส่ ลิเวรานี จนโดนใบเหลือง-แดง แต่ครบ 120 นาที ฟิออเรนตินา ก็ไม่สามารถทะลวงประตูได้ต้องตัดสินถึงฎีกาด้วยการยิงจุดโทษ
ซึ่งปรากฏว่า เรนเจอร์ส แม่นกว่าชนะไป ฟิออเรนตินา 4-2 ถึงแม้ แบร์รี เฟอร์กูสัน กัปตันทีมเยือนจะพลาดก่อนแต่ทั้ง วิทเทคเกอร์, ปาปัช, เฮมดานี, นาโช โนโบ ยิงเข้าทั้งหมด ส่วนเจ้าถิ่น คุซมาโนวิช, มอนโตลิโว ไม่พลาด แต่เป็น ลิเวรานี (โดนเซฟ) และวิเอรี (ยิงข้ามคาน) ทำให้ เรนเจอร์ส เข้าไปชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ กับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ซิตี ออฟ แมนเชสเตอร์ สังเวียนแข้ง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ของอังกฤษ
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีม
ฟิออเรนตินา : เซบาสเตียน เฟรย์ , มาร์ติน ยอร์เกนเซน , โทมัส อูจ์ฟาลูซี , อเลสซานโดร กัมเบรินี , มัสซิโม ก็อบบี , มาร์โก โดนาเดล , ฟาบิโอ ลิเวรานี , ริคคาร์โด มอนโตลิโว , มาริโอ ซานตานา , จามเปาโล ปาสซินี , อาเดรียน มูตู
เรนเจอร์ส : นีล อเล็กซานเดอร์ , เคิร์ก บรอตฟุต , เดวิด เวียร์ , คาร์ลอส กูเอยาร์ , ซาซา ปาปัช , บราฮิม เฮมดานี , สตีเวน เดวิส , แบร์รี เฟอร์กูสัน , เควิน ธอร์มสัน , สตีเวน วิทเทคเกอร์ , ฌอง โคลด ดาร์กเชอวิลล์
ส่วนผลการแข่งขันในรอบตัดเชือกอีกคู่หนึ่ง ปรากฏว่า เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก พลิกล็อกเปิดบ้านไล่ถล่ม “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี 4-0 โดยได้ประตูจากการเบิ้ลสกอร์ของ พาเวล โปเกรบเนียค (นาทีที่ 5 และ 73), คอนสแตนติน ซูเรียนอฟ (น.39), วิคเตอร์ ฟายซูลิน (น.56) ทำให้ทีมม้ามืดจากรัสเซียได้ผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ด้วยสกอร์รวมสองนัด 5-1