คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกในเมืองไทยเมื่อวันเสาร์ที่ 19 เมษายน 51 ที่ผ่านมานั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชวนคึกคักยิ่งสำหรับคนกรุงเทพฯ กับครั้งแรกที่ไฟคบเพลิงโอลิมปิกได้เข้ามาวิ่งในใจกลางเมืองอันมีจุดเริ่มต้นจากซุ้มเฉลิมพระเกียรติ วงเวียนโอเดียน ก่อนจะไปสิ้นสุดที่ลานพระบรมรูปทรงม้า นับเป็นเส้นทางที่มีนัยแฝงอยู่ในแง่ความสัมพันธ์ไทย – จีนที่ทางฝ่ายจัดวิ่งคบเพลิงและกรุงเทพมหานครเชื่อว่าน่าจะช่วยให้บรรยากาศการวิ่งคบเพลิงของกรุงเทพฯที่ต้องรับช่วงต่อมาจากเมืองอื่นซึ่งเต็มไปด้วยเหตุการณ์ประท้วงให้ผ่อนคลายลงไปบ้าง
ในฐานะที่กรุงเทพฯเป็นเมืองที่ 13 ที่ไฟคบเพลิงจะวิ่งผ่านเหตุการณ์ตลอดเส้นทางย่อมสร้างความกังวลใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ รวมไปถึงกลุ่มพันธมิตรที่ให้ความสนับสนุนการแข่งขันอย่าง โคคาโคล่า ที่มีบทบาทสำคัญในโอลิมปิกมาตั้งแต่ปี 1928 และมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกโดยเฉพาะและทีมข่าวกีฬาผู้จัดการรายวันได้มีโอกาสพูดคุยกับ เธียรี่ย์ บอร่า (Director Olympic Games Management) ซึ่งผ่านประสบการณ์ทั้งด้านดีและร้ายของการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกมากว่า 10 ปี
ทั้งนี้ เธียรี่ย์ เริ่มบทสนทนาด้วยการแสดงความรู้สึกประทับใจกับกรุงเทพฯ อันเป็นเมืองที่ 13 ในการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก ซึ่งจัดได้อย่างน่าประทับใจและสมกับแนวความคิดของโคคาโคล่า ที่ต้องการรณรงค์แนวความคิดปักกิ่งเกมส์ 2008 ให้เป็น “กรีนโอลิมปิก” โดยกล่าวว่า
“บรรยากาศจัดการวิ่งคบเพลิงในกรุงเทพฯ น่าตื่นเต้นมากทุกคนต่างกระตือรือร้นและให้ความร่วมมือน่าจะเป็นอีกหนึ่งเส้นทางวิ่งคบเพลิงที่น่าประทับใจ เพราะสามารถตอบสนองได้ทั้งสองแนวทางของการวิ่งคบเพลิงที่ได้ตั้งเอาไว้โดยส่วนแรกคือเฉลิมฉลองและวิ่งคบเพลิงภายในใจกลางเมืองและอีกส่วนคือการช่วยและสนับสนุนแนวความคิด “กรีนโอลิมปิก” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความพยายามที่ โคคาโคล่า ต้องการให้คนได้เห็นคุณค่าของโอลิมปิกว่ามิใช่เป็นเพียงการแข่งขันกีฬาหากแต่เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกออกมาแสดงแนวคิดและความร่วมมือในระหว่างประเทศ”
จากสถานการณ์ปัจจุบันที่การวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกถูกเอาไปรวมกับการเมืองอย่างแยกไม่ออกทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยสวยงามนักระหว่างเส้นทาง เธียรี่ย์ ในฐานะผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายในโอลิมปิกมาแล้วหลายครั้งแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นกลางว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนเราเคารพในการแสดงออกและความคิดของทุกคน ขณะเดียวกันพวกเราก็จะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และทำให้ทุกคนรู้สึกยินดีที่ได้เข้ามามีส่วนร่วม เพราะนั่นคือคุณค่าที่แท้จริงของโอลิมปิก”
“ จริงๆแล้วการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกเป็นสิ่งที่สวยงามเป็นการเข้าร่วมของคนทั่วโลก ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ที่มีกลุ่มหรือบุคคลที่ต้องการแสดงออกทางความคิดเราเคารพในสิทธิของพวกเขา ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเราเคยเจอปัญหาการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกแล้วมีกลุ่มผู้ประท้วงมาแล้วเพียงแต่สาเหตุที่เกิดขึ้นต่างจากครั้งนี้ ซึ่งเราก็ให้ความเคารพต่อการแสดงออกของผู้ประท้วงเพราะพวกเขามีสิทธิทางความคิด เหมือนกับความหมายที่แฝงอยู่ในไฟคบเพลิงโอลิมปิกคือ “เสรีภาพ” ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นทำให้ทางโคคาโคล่ามองว่าไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นการแสดงสิทธิของแต่ละกลุ่มเราจะเคารพในการกระทำของพวกเขามากกว่า”
“จะว่าไปแล้วมันคือ "การมองเหตุการณ์ในด้านบวก" ซึ่งโคคาโคล่า พยายามสนับสนุนให้ทุกคนคิดเช่นนั้น ที่สำคัญเราอยากให้ทุกคนมองถึงคุณค่าการแข่งขันโอลิมปิกให้ลึกซึ้ง อย่างคิดว่าเป็นเพียงการแข่งขัน หากเป็นการเข้าร่วมและมิตรภาพที่เกิดขึ้นในมหกรรมนั้นเรียกได้ว่าไร้พรมแดน”
สำหรับการจัดวิ่งคบเพลงในกรุงเทพฯที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เธียรี่ย์ ได้ให้คำตอบก่อนที่การวิ่งจะจบลงว่า “ถ้าไม่ถือเป็นการยกย่องเกินไปผมคิดว่าเมืองไทย กรุงเทพฯเป็นเมืองที่ประทับใจมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการจัดการ มีกิจกรรมที่ช่วยสนับสนุนแนวความคิดกรีนโอลิมปิก เท่าที่ผ่านมาหลายประเทศเมืองไทยและกรุงเทพมหานครมีพัฒนาการในการรับแนวความคิดและจัดงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นงานเฉลิมฉลอง หรือ การชักชวนให้ผู้คนหันมาสนใจการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกในครั้งนี้ ด้วยศักยภาพแล้วผมเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีและน่าประทับใจ”
ดูเหมือนว่าความหวังของ เธียรี่ย์ บอร์ร่า จะเป็นจริงเพราะการวิ่งคบเพลิงในกรุงเทพมหานครนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนับตั้งแต่พิธีเปิดจนไปถึงการเฉลิมฉลองบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าแม้จะมีเหตุการณ์วุ่นวายอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ และหากนัยของไฟโอลิมปิกหมายถึงเสรีภาพของมนุษย์ทุกคนบนโลกจากนี้ก็คงได้แต่ภาวนาว่าเส้นทางที่เหลืออยู่ของการวิ่งคบเพลิงจะเป็นการแสดงออกของความคิดต่างที่เคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน
