xs
xsm
sm
md
lg

“สมจิตร จงจอหอ” ฉากสุดท้ายที่ปักกิ่งเกมส์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากจะเอ่ยถึงยอดนักชกชาวไทยที่ผ่านเวทีประชันขันแข่งในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ในหลายครั้งที่ผ่านมา เชื่อว่า แฟนหมัดมวยชาวไทยคงจะหลับตานึกถึงหน้ายอดฝีมืออย่าง สมรักษ์ คำสิงห์ หรือ มนัส บุญจำนงค์ ได้เป็นลำดับต้นๆ ที่ล้วนแต่สร้างเกียรติประวัติด้วยการคว้าเหรียญทองได้ในฐานะฮีโร่

ทว่าชื่อของ สมจิตร จงจอหอ ยอดมวยวัย 33 ปี อาจจะหลุดหายไปจากความทรงจำของใครต่อใคร แม้จะเคยคว้าแชมป์มาแล้วอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เวิลด์บ็อกซิง, เอเชียนเกมส์ หรือแม้แต่รายการเล็กๆ อย่างซีเกมส์ แต่กลับไม่เคยประสบความสำเร็จในการชกเวทีใหญ่อย่างโอลิมปิกเลย แม้จะมีลีลาการชกจัดจ้านทั้งเกมรุก และรับจนถูกยกให้เป็นตัวเต็งคว้าเหรียญทองที่เอเธนส์ 2004 แต่ก็ต้องมาตกม้าตายเพียงรอบที่ 2 เท่านั้น

ในช่วงระหว่างการแข่งขันมวยคิงส์คัพระหว่งวันที่ 6-9 เมษายน ที่ผ่านมา ทีมข่าวกีฬาผู้จัดการายวันได้มีโอกาสพูดคุยกับสมจิตร ถึงบาดแผลในอดีตที่ยังฝังใจ ซึ่งนักชกที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในรุ่นของตนเองแต่ต้องจบเพียงแค่รอบ 2 ในเอเธนส์เกม รำลึกความหลังที่ยังชัดเจนให้ฟังว่า

“ตอนนั้นตกรอบ 2 จากการแพ้นักมวยคิวบา ทั้งที่จริงๆ พอผ่านยก 3 ผมมีคะแนนนำอยู่ ซึ่งถ้ายก 4 ออกไปโชว์ฟุตเวิร์กอย่างเดียวก็น่าจะชนะแล้ว แต่ด้วยความกดดันบนเวทีมันทำให้ผมแพ้ และได้บทเรียนราคาแพง ว่าหากเรากดดันตัวเองจะทำให้เราไม่สามารถชกได้ตามฟอร์มที่เคยเป็น” และด้วยความผิดหวังอย่างแรง ทันทีที่ลงจากเวทีในฐานะผู้แพ้จากเอเธนส์ 2004 สมจิตร ประกาศผ่านสื่อมวลชนทันทีว่าต้องการหันหลังให้กับอาชีพนักมวยอย่างจริงจัง

แต่การตัดสินใจในวันนั้นก็เปลี่ยนไป เมื่อเดินทางกลับมาถึงเมืองไทย “ก่อนไปทุกคนบอกว่า สมจิตร เอาเหรียญกลับมาฝากด้วยนะ แต่พอไปแล้วแพ้กลับมา ความรู้สึกตอนนั้นคือเสียใจมาก น้อยใจในโชควาสนาของตัวเองด้วย ที่สำคัญคือทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องมาผิดหวังกับตัวเรา ผมน้ำตาไหลเลย ร้องไห้มาก คิดไว้แล้วว่ากลับเมืองไทยเมื่อไหร่ผมเลิกชกมวยแน่ แต่เมื่อกลับมาเมืองไทยทีมมวยสากลสมัครเล่นของเราต้องเดินทางไปขอบคุณผู้สนับสนุนสมาคมมวยฯ ที่บริษัท โอสถสภา”

“ตอนนั้นจำได้เลยว่ามีเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานนั้น ใส่เสื้อสีเหลืองมาถือป้ายเชียร์เรา ให้กำลังใจเรา เขาเดินมาบอกว่า สมจิตร ไม่ต้องร้องไห้ ไม่เป็นไร คุณยังมีฝีมืออยู่ ช่วยกลับไปชกมวยต่อ จะทิ้งไปทำไมคำพูดเพียงเท่านั้นแต่เปรียบเหมือนกำลังใจสำคัญที่ฉุดให้ตัวเราขึ้นจากความผิดหวัง ผมบอกับตนเองว่าเมื่อมีคนยืนเคียงข้างเราแบบนี้จะไม่สู้ได้หรือ”

ณ วันนี้แม้ สมจิตร จะยังถูกยกให้เป็นนักมวยไทยรายต้นๆ ที่มีโอกาสจะหยิบเหรียญทองโอลิมปิก 2008 ในเดือนสิงหาคมนี้ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ยอดมวยจอมลีลารายนี้ยืนยันว่าความกดดันที่เคยมีเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จะไม่สามารถทำร้ายตัวเองได้อย่างแน่นอน

“โอลิมปิกครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของผม เรื่องความคาดหวังนั้น ผมคิดว่า 4 ปีที่แล้วผมได้รับมามากกว่านี้อีก ผมซ้อมมาหนักมาก แต่มันก็พลาด และผมก็ยังมีความหวังในโอลิมปิกครั้งนี้ แต่จะไม่กดดันตัวเองเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว อนาคตมันเป็นเรื่องไม่แน่นอน ดังนั้นผมคิดเสมอว่าจะทำปัจจุบันให้เต็มที่ ดูแลตัวเองให้มาก ศึกษาคู่แข่งให้ดี”

“ถึงวันนี้ผมนิ่งมากแล้ว เรารู้แล้วว่าการชกแล้วกดดันตัวเองผลมันจะออกมาอย่างไร หลังจากนั้นผมรู้แล้วว่าผมไม่รู้สึกกดดันอะไร การชกหลายรายการผมก็สามารถเดินขึ้นเวทีมวยได้อย่างสบายใจ ตอนนี้ให้ชกกับใครก็ได้ ถ้าเราไม่กลัวความกดดันแล้วมันก็น่าจะเป็นโอกาสของผมเสียทีในโอลิมปิกครั้งนี้”

คงต้องมารอดูกันในเดือนสิงหาคมนี้ที่กีฬาโอลิมปิก 2008 จะระเบิดศึกกำปั้นขึ้นบนแผ่นดินมังกรว่า สมจิตร จงจอหอ ที่เคยเอาชนะคู่แข่งมานับไม่ถ้วน จะสามารถกลับมาเอาชนะใจตัวเอง และความกดดันที่เคยนำพาความผิดหวังมาสู่ตัวเองได้หรือไม่ เป็นบทสุดท้ายของยอดมวยวัย 33 ปีที่คนไทยทุกคนรอคอย


กำลังโหลดความคิดเห็น