จ่าฝูง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี กำลังขับเคี่ยวแย่งแชมป์ พรีเมียร์ชิป อังกฤษ กันอย่างมันหยดในอีก 5 นัดที่เหลือของฤดูกาล แต่อีกฟากของตารางก็น่าจับตามองไม่แพ้กันในการหนีตกชั้นว่าอีก 2 ทีมชะตาขาดจะเป็นใครที่ต้องตามบ๊วย ดาร์บี เคาน์ตี ร่วงสู่เวที เดอะ แชมเปียนส์ชิป
ณ เวลานี้ ดาร์บี ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาเมื่อปีที่แล้วด้วยการเพลย์ออฟตกชั้นกลับลงไปแน่นอนแล้ว เนื่องจากอมบ๊วยมานานมีเพียง 11 คะแนนจาก 33 นัด กลายเป็นทีมที่ตกชั้นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์คือก่อนเดือนเมษายน ตอนนี้เหลือลุ้นเพียงอีก 5 นัดต้องเก็บให้ได้เกิน 15 คะแนน เพราะจะได้ไม่ย่ำแย่เท่าสถิติของ ซันเดอร์แลนด์ ที่ร่วงในปี 2006
ทีมที่เข้าข่ายน่าจะตกชั้นตาม ดาร์บี ไปไล่ตั้งแต่อันดับ 19-15 ขึ้นไปก็มี ฟูแลม 24 คะแนน, โบลตัน 26 คะแนน, เบอร์มิงแฮม ซิตี 30 คะแนน, เรดดิง 32 คะแนนและ วีแกน แอธเลติก 34 คะแนน ส่วนอันดับ 14 มิดเดิลสโบรช์ หลังจากเสมอ แมนฯยูไนเต็ด 2-2 น่าจะพยุงตัวรอด เช่นเดียวกับ ซันเดอร์แลนด์ อันดับ 13 ที่ชนะมา 3 นัดรวด
เมื่อดูจากโปรแกรมที่เหลือของ 5 ทีมแล้วค่อนข้างจะก้ำกึ่งสูสีและมองยากมาก แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์ดูแล้ว ฟูแลม ทีมรองบ๊วย ที่ผลงาน 21 เกมหลังชนะแค่ 2 นัดเท่านั้น โอกาสรอดมีน้อยมาก เพราะมีสิทธิ์สูงที่จะแพ้ 3 นัดรวดหลังจากนี้ เริ่มจากไปเยือน เรดดิง ที่จะต้องตัดแต้มกันเอง รวมถึงเฝ้าบ้านรับมือ ลิเวอร์พูล และไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี
ส่วน เรดดิง ทีมอันดับ 16 หากเอาชนะ ฟูแลม ที่ยังไม่ชนะนอกบ้านในปีนี้ ก็เรียกได้ว่าน่าจะลอยลำ เพราะโปรแกรมที่เหลือของพวกเขามีที่น่าหนักใจที่สุดคือไปเยือน อาร์เซนอล เท่านั้นส่วน 3 นัดท้ายที่จะพบกับ วีแกน, สเปอร์ส และ ปิดท้ายด้วยไปเยือน ดาร์บี ที่ตกชั้นไปแล้ว มีลุ้นเก็บแต้มแบบเป็นกอบเป็นกำ
วีแกน ทีมอันดับ 15 ที่หายใจโล่งกว่าใครเพื่อน เพราะห่างจากโซนแดงถึง 8 แต้ม โปรแกรมหนักกว่าใครเพื่อนเจอทั้ง เชลซี และ แมนฯยูไนเต็ด ที่ขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กันอยู่ รวมถึงมี สเปอร์ส, เรดดิง และ แอสตัน วิลลา ก็จริง แต่ว่าบุญเก่าที่สั่งสมมาดีตั้งแต่เมื่อช่วงต้นฤดูกาลน่าจะอาศัยความผิดพลาดของทีมอื่นส่งให้ตัวเองรอดได้
ทำให้อีกหนึ่งที่น่าจะเป็นการหนีตายระหว่าง โบลตัน อันดับ 18 กับ เบอร์มิงแฮม อันดับ 17 อย่างไรก็ตาม "เดอะ ทร็อตเตอร์" น่าเป็นห่วงสุดต้องออกไปเยือนถึง 3 ใน 5 นัดที่เหลือและฤดูกาลนี้เป็นอาคันตุกะชนะแค่นัดเดียวเอง ส่วน "ลูกโลก" จะเบาใน 2 เกมท้ายกับ ฟูแลม และ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส รวมถึงมี 4 แต้มที่มากกว่าตุนอยู่น่าจะรอดตกชั้นได้
สำหรับ ฟูแลม เลื่อนชั้นขึ้นมาในฤดูกาล 2001-02 หากว่าตกชั้นก็เป็นอันสิ้นสุด 7 ฤดูกาลติดต่อกันในลีกสูงสุด อดีตฉายา "เจ้าสัวน้อย" ที่เปลี่ยนแนวทางการทำทีมเลิกทุ่ม แต่กลับขายนักเตะแกนหลักอย่าง หลุยส์ ซาฮา, สตี๊ด มัลบรองก์, ฌอน เดวิส และ สตีฟ ฟินแนน เพื่อนำเงินเข้าสู่สโมสรแทน จึงเสมือนเป็นรอยแตกเล็กๆ ที่ขยายวงกว้างมากขึ้น
อีกสาเหตุที่ทำให้ ฟูแลม ตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ก็คือการเปลี่ยนกุนซือไล่ตั้งแต่ คริส โคลแมน ในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้วและดึง ลอรี ซานเชซ ที่ประสบการณ์น้อยนิดเข้ามาแทน แม้จะรอดตกชั้นแบบหวุดหวิด แต่ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ไม่ดี 17 นัดจมอยู่ท้ายตาราง ก่อนจะทาบ รอย ฮ็อดจ์สัน ที่แทบจะหมดไฟแล้วเข้ามาคุมทัพ
โบลตัน อีกทีมก็มีสถานการณ์คล้ายกับ ฟูแลม ก็คือประธานสโมสรหมดไฟไร้ความทะเยอทะยาน ทำให้ แซม อัลลาไดซ์ ที่พาทีมไปลุย ยูฟา คัพ มาแล้ว จำต้องโบกมือลา การดัน แซมมี ลี ขึ้นมาแทนก็เรียกได้ว่าผิดมหันต์ อีกทั้งให้โอกาสน้อยนิดชนะนัดเดียวใน 11 เกมก็ตัดสินไล่ออกและเป็น แกรี เม็กสัน ที่ถูกทาบทามเข้ากู้สถานการณ์
6 ฤดูกาลในยุคของ อัลลาไดซ์ บนเวที พรีเมียร์ชิป โบลตัน จบด้วยอันดับเลขตัวเดียวใน 4 ฤดูกาลหลังสุด ผลงานกำลังมีแนวโน้มที่ดี แต่ ฟิล การ์ทไซด์ ประธานสโมสรไม่ยอมทุ่มเงิน ในฤดูกาลนี้เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ยังตัดสินใจขาย นิโกลาส์ อเนลกา ดาวยิงที่ดีที่สุดออกไปเพื่อแลกกับเงินอีก
ทั้ง ฟูแลม และ โบลตัน ถือเป็นทีมระดับล่างที่อยู่ในเวที พรีเมียร์ชิป มานานจนเกินไป นานจนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไร้ซึ่งความทะเยอะทะยาน หากทั้งคู่ต้องตกชั้นจริงๆ ในฤดูกาลนี้ก็คือความผิดพลาดของพวกเขาเองล้วนๆ แต่ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ทีมอื่นที่มีไฟมากกว่านี้เข้ามาทำให้ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีมีสีสันมากขึ้น