การคว้าแชมป์เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันและเป็นสมัยที่ 6 ในศึกบูอิคของ ไทเกอร์ วู้ดส์ ได้ทำให้ชื่อของ “พญาเสือ”ถูกบันทึกลงสู่สถิติของวงการกอล์ฟอีกครั้ง เพราะนี่คือแชมป์พีจีเอทัวร์ครั้งที่ 62 ในการเล่นอาชีพ 13 ฤดูกาล และเทียบเท่ากับผลงานของ อาร์โนลด์ พาลเมอร์ หนึ่งในตำนานของวงการกอล์ฟที่เคยทำสถิติเดียวกันนี้ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1955–1973 อันเป็นอันดับที่สี่ในฐานะนักกอล์ฟที่คว้าแชมป์พีจีเอทัวร์ได้มากที่สุด โดยมี แซม สนีด รั้งตำแหน่งหัวแถวด้วยตัวเลข 82 ครั้ง ส่วนอันดับสองคือ แจ็ค นิกคลอส และ อันดับที่สาม เบน โฮแกน ที่ทำสถิติคว้าแชมป์พีจีเอทัวร์ไว้ทั้งสิ้น 64 ครั้ง
ตัวเลขของตำนานโปรที่สร้างเอาไว้นั้นมักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับสถิติของไทเกอร์ วู้ดส์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ วู้ดส์ ทำสถิติเทียบเท่ากับ พาลเมอร์ได้สำเร็จ ก้าวต่อจากนี้เห็นจะหนีไม่พ้น การขึ้นไปรั้งอันดับสามร่วมกับ เบน โฮแกน ผู้ครองแชมป์พีจีเอทัวร์ทั้งหมด 64 ครั้ง หักลบแล้วเหลืออีกเพียงสองรายการ “พญาเสือ” ไม่น่าจะพลาดเพราะฤดูกาล 2008 เพิ่งจะเริ่มต้น
ทั้งนี้ วู้ดส์ ได้กล่าวถึงผลงานที่ขึ้นไปเทียบนักกอล์ฟรุ่นพี่ระดับตำนานได้ว่า “มาตรฐานที่ อาร์โนลด์ ทำไว้สร้างแรงกระตุ้นให้ผมอยู่เสมอซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะผมต้องการทำอย่างที่เขาเคยทำไว้ ซึ่งท้ายที่สุดก็สำเร็จไปได้ด้วยดี ถึงตอนนี้คงเป็นเรื่องสนุกไม่น้อยที่ผมจะเป็นฝ่ายกดดันเขาบ้างด้วยการทำสถิติให้เหนือเขาขึ้นไปอีก ”
ขณะที่บรรดามือสวิงในรายการบูอิคก็ออกมาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องยอมสยบให้กับความเก่งกาจของ วู้ดส์ โดย สจ๊วร์ต ซิงค์ เพื่อนร่วมชาติซึ่งจบในอันดับ 3 ร่วมกล่าวว่า “วู้ดส์เล่นได้อย่างไร้ที่ติในเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่สำคัญสมาธิของนักกอล์ฟรายนี้นิ่งมากแม้จะออกโบกี้ไปแต่สุดท้ายเขาก็ทำเบอร์ดี้คืนกลับมาได้”
เมื่อเริ่มต้นได้ดีความมั่นใจย่อมตามมา เช่นเดียวกับ วู้ดส์ ที่เวลานี้ถึงกับออกปากว่าตนเองนั้น อยู่ในช่วงท็อปฟอร์มยิ่งกว่าเมื่อคราวกวาด 3 แชมป์เมเจอร์มาครองได้ในปี 2000 ก่อนจะต่อยอดด้วยการทำ “ไทเกอร์สแลม” จากการซิวแชมป์ เดอะ มาสเตอร์ส ในเดือนเมษายน ปีถัดมาเสียอีก
วู้ดส์ กล่าวถึงฟอร์มการเล่นของตัวเองในรายการล่าสุดซึ่งทำได้ลงตัวแทบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวงสวิง, พัตต์ และ ชิปว่า “ผมต้องการเริ่มต้นให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และในการแข่งขันที่ผ่านมาผมสามารถตีชอตที่ไม่เคยทำได้มาก่อนรวมถึงในปี 2000 ได้หลายชอต นั่นทำให้ใครต่อใครคิดว่านี่คือการเล่นที่ยอดเยี่ยม แต่สำหรับผมแล้วการพัฒนาจะไม่หยุดเพียงเท่านี้มันต้องดีขึ้นไปเรื่อยๆ”
คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของ “วู้ดส์ “ เหมือนจะส่งสัญญานไปยังคู่ต่อสู้ทุกรายว่าให้ระวังเอาไว้ ปีนี่ “พี่เสือ” เอาจริง เพราะถ้าทาบเหตุและปัจจัย ในการเป็นเจ้าสนามของนักกอล์ฟรายนี้โอกาสที่เจ้าตัวจะขึ้นไปทาบสถิติสูงสุดของ แซม สนีด ก็มีไม่น้อยเพราะตำนานของวงการนั้นใช้เวลา 29 ฤดูกาลที่จะขึ้นมาสู่จุดสูงสุด แต่กว่าจะถึงบันไดขั้นดังกล่าว วู้ดส์ ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อบลสถิติของ แซม สนีด (82), แจ๊คนิกโคลส(73) และ เบน โฮแกน (64)
อย่างไรก็ตาม นอกจากการกวาดถ้วยรางวัลมาครองให้ได้มากที่สุดแล้ว ในช่วงฤดูกาล 2008 ที่วู้ดส์ ประเดิมด้วยชัยชนะเขายังวาดหวังว่าจะสามารถคว้าชัยในเมเจอร์ทั้งสี่รายการอันประกอบไปด้วย เดอะมาสเตอร์, ยูเอส โอเพ่น, บริทิช โอเพ่น, และ พีจีเอ แชมป์เปี้ยนชิป มาครองให้ได้ในฤดูกาลเดียว หากประสบผลสำเร็จก็จะมีผลพ่วงให้วู้ดส์ สะสมเมเจอร์อยู่ที่ 17 ครั้งเหลืออีกเพียงหนึ่งสแลม โปรเชื้อสายไทย-อเมริกัน รายนี้ก็จะทำผลงานเท่ากับ “หมีทองคำ” แจ็ก นิกคลอส ผู้ครองสถิติสูงสุดในปัจจุบัน
หากพิจารณาจากอายุ และความแข็งแกร่งของไทเกอร์ วู้ดส์ ในเวลานี้แนวโน้มที่เขาจะประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ก็มีสูงไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับตำนานรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น แซม สนีด, นิกคลอส, โฮแกน และ พาลเมอร์ แล้วถือว่า ไทเกอร์ เดินทางมาถึงแชมป์รายการที่ 62 ได้เร็วกว่าใครในฤดูกาลที่ 13 ด้วยวัยเพียง 32 ปี ขณะที่สถิติแชมป์รายการเมเจอร์ นั้น วู้ดส์ คว้าแชมป์ 13 สมัยเมื่อมีอายุ 32 ปีขณะที่นิกคลอส นั้นผ่านเส้นดังกล่าวเมื่อมีวัย 35 ปี และ คว้าแชมป์ครบ 18 สมัยในช่วงอายุ 46 ปี
แม้ว่าบรรดาเกจิริมสนามจะยกให้ วู้ดส์ มีภาษีในการสร้างตำนานหน้าใหม่ให้เหนือกว่า นิกคลอส แต่โปรหมายเลขหนึ่งของโลกยังไม่ประมาท และกล่าวทิ้งท้ายได้อย่างน่าสนใจว่า “กว่าจะถึงผลสำเร็จที่ตั้งไว้ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรเพราะเป้าหมายดังกล่าวมิอาจเกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน ถึงเวลานี้ผมอยู่ในสนามแข่งมาแล้ว 13 ฤดูกาล ยังเหลือเส้นทางอีกยาวไกลและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ และ โอกาสจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วงให้ผมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตนเองได้”