“ดร.อัทธ์” ชี้ ทั่วโลกรุมปราบสแกมเมอร์ ทำรายได้ “ฮุน เซน” หดหาย 1.5-2 หมื่นล้านเหรียญ แนะ “รัฐบาลอนุทิน”ใช้เวทีประชุมนานาชาติต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ประกาศจับมือสหรัฐฯ ร่วมกำจัดแก๊งสแกมเมอร์กัมพูชา เผย “เขมร”เสียรู้อเมริกา หลอกเซ็นสัญญาการค้า บีบแก้กฎหมาย เปิดทางให้ “พญาอินทรี”เข้าแทรกแซง ตรวจสอบกรณีธุรกิจสีเทาเปิดบริษัทบังหน้า รวมทั้งสกัดทุนต่างชาติที่ใช้กัมพูชาเป็นฐานการผลิตเพื่อสวมสิทธิทางภาษีในการส่งออก ขณะที่อาวุธซึ่ง”แคมโบเดีย”จะซื้อจากอเมริกา ก็นำใช้โจมตีไทยไม่ได้ เพราะมีกฎหมายห้ามใช้ถล่มประเทศพันธมิตรสหรัฐฯ เชื่อ “จีน”เตรียมยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูงพนมเปญ-ชายแดนไทย และโครงการขุดคลองฟูนันเตโช เหตุ ไม่พอใจที่เขมรหันไปให้ความสำคัญกับสหรัฐฯ
กรณีที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)ของไทย ประกาศยึดอายัดทรัพย์ขบวนการสแกมเมอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับแก๊งสแกมเมอร์รายใหญ่ในกัมพูชา รวมมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายของนายเฉิน จื้อ เครือข่ายนายก๊ก อาน หรือเครือข่ายของนายบน สมิธ รวมถึงกลุ่มบริษัทสัญชาติกัมพูชา ซึ่งว่ากันว่าแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ล้วนแต่สนิทสนมกับผู้นำทางการเมืองของกัมพูชานั้น นับเป็นมาตรการที่ทำให้เห็นถึงความเข้มข้นของรัฐบาลไทยในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ที่มีฐานใหญ่ในกัมพูชา
ขณะที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเดินทางไปเยือนอินเดียก็ได้เจรจาประสานความร่วมมือเพื่อให้อินเดียวร่วมแก้ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ นอกจากนั้นประเทศไทยยังเตรียมเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ที่กรุงเทพมหานคร ในระหว่างวันที่ 17 - 18 ธันวาคม 2568 นี้อีกด้วย
ว่ากันว่านี่คือปฏิบัติการ “โลกล้อมกัมพูชา” ซึ่งจะกดดันให้ประเทศศูนย์กลางสแกมเมอร์แห่งนี้ต้องเร่งปรับท่าทีและจำต้องลุกขึ้นมาร่วมปราบปรามแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ชี้ว่า การที่ ปปง.มีคำสั่งอายัดทรัพย์ของเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์กัมพูชาจะส่งผลกระทบต่อกระเป๋าเงินของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของกัมพูชาอย่างมาก เนื่องจากรายได้จากธุรกิจสแกมเมอร์เป็นแหล่งทุนหลักที่ใช้ในการดำเนินการทางการเมืองของตระกูลฮุน
ขณะเดียวกันการจัดการกับเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์และการจัดประชุมความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตที่จะมีขึ้นในกลางเดือนนี้ก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย ทำให้ทั่วโลกมองว่าเรามีความจริงจังในการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการกำจัดอาชญากรรมข้ามชาติของนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ใต้หวัน หรือเกาหลีใต้
“ เนื่องจากฮุน เซน มีรายได้จากสแกมเมอร์ถึง 60% ของจีดีพี ในขณะที่จีดีพีของกัมพูชาอยู่ที่ 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง 60% ของจีดีพีก็ประมาณเกือบสามหมื่นล้าน แต่การปราบปรามสแกมเมอร์ทำให้รายได้ของฮุน เซน หายไปครึ่งหนึ่งของจีดีพี ก็เท่ากับหายไป 15,000-20,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นเงินก้อนมหาศาล ” รศ.ดร.อัทธ์ ระบุ
รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวต่อว่า การที่ไทยประกาศยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ยังทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศกัมพูชาเสียหาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้าไปลงทุนของต่างชาติ ทำให้นานาชาติเห็นว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ในกัมพูชามีจริง ไม่ว่าจะเป็น กรณีของญี่ปุ่นที่การลงทุนผลิตเครื่องจักรในกัมพูชาภายใต้โครงการ Thailand plus one ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากกัมพูชามีปัญหากับไทย ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถส่งชิ้นส่วนรถยนต์จากกัมพูชามาประกอบที่ไทยได้ หรือ กรณีของเกาหลีใต้ที่เดิมที่ชะลอการลงทุนในกัมพูชาอยู่แล้ว เมื่อมีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์การลงทุนของทั้งสองประเทศก็ยิ่งชะลอตัวลงอีก แม้แต่ทุนจีนซึ่งเป็นทุนใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาก็ชะลอตัวลงเช่นกัน
ส่วนการที่ ปปง. ประกาศยึดทรัพย์แก๊งสแกมเมอร์ซึ่งมีฐานใหญ่ในกัมพูชาก็ถือว่าไทยมาถูกทางแล้ว และนับว่าได้ใจสหรัฐฯเนื่องจากในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯมีความกังวลเรื่องปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์เป็นอย่างมาก อีกทั้งการที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคมนั้น ตนมองว่าถือเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะใช้เวทีนี้ในการประกาศต่อประชาคมโลกว่าไทยจะร่วมกับสหรัฐฯในการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยทำงานร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามศูนย์หลอกลวง (Scam Center Strike Force) ซึ่งสหรัฐฯเพิ่งจัดตั้งเมื่อเดือน พ.ย.2568 ที่ผ่านมา ซึ่งตรงนี้จะเป็นคะแนนบวกของไทยในการเจรจาเรื่องภาษีนำเข้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะทำให้การเจรจาการค้าของไทยกับสหรัฐฯนั้นง่ายขึ้น
“ ถ้าไทยเซ็น MOU กับหน่วยงานดังกล่าวของสหรัฐฯ ก็จะเป็นคะแนนบวกของไทย ขณะที่สหรัฐฯก็จะได้หน้าว่าเป็นพี่ใหญ่ในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ อย่าลืมว่าตอนนี้ประเทศในเอเชียที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ต่างเซ็นข้อตกลงความร่วมมือในการปราบปรามสแกมเมอร์กับสหรัฐฯหมดแล้ว ดังนั้นประเทศไทยซึ่งอยู่ติดกับพม่าและกัมพูชาซึ่งเป็นแหล่งสแกมเมอร์จึงต้องขยับมากกว่านี้ ” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว
รศ.ดร.อัทธ์ ยังได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ ว่า เนื่องจากกัมพูชาต้องการดึงสหรัฐฯซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจมาเป็นพันธมิตรจึงต้องยอมสหรัฐฯทุกอย่าง โดยที่ไม่รู้ตัวว่านอกจากสหรัฐฯต้องการจะเข้าไปปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาแล้ว การที่กัมพูชาเซ็นสัญญาการค้ากับสหรัฐฯยังกลายโซ่ล่ามกัมพูชาในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากกัมพูชาจะต้องปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบทุกอย่างภายใต้เงื่อนไขการค้ากับสหรัฐ เช่น ต้องตรวจสอบการจัดตั้งบริษัทในกัมพูชาของบรรดากลุ่มทุนว่ามีความเชื่อมโยงกับสแกมเมอร์หรือไม่ จากเดิมที่การเข้าไปตั้งบริษัทในกัมพูชานั้นไม่ได้มีการตรวจสอบเบื้องหน้าเบื้องหลังแต่อย่างใด เพราะกัมพูชาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
นอกจากนั้นสหรัฐฯยังมีการตรวจสอบสินค้าที่ผลิตในกัมพูชาด้วยว่าเป็นสินค้าปลอมหรือเป็นสินค้าของประเทศอื่นที่เข้ามาใช้ฐานการผลิตของกัมพูชาเพื่อสวมสิทธิ์ทางภาษีหรือไม่ คือแม้กัมพูชาจะเสียภาษีนำเข้าสินค้าที่ส่งไปยังสหรัฐ 19% เท่ากับประเทศไทย แต่สหรัฐฯได้กำหนดว่ากัมพูชาต้องระบุแหล่งกำเนิดสินค้าว่ามาจากไหน ในขณะที่ประเทศกัมพูชาไม่มีวัตถุดิบในการผลิตสินค้ามากนัก แต่ทำไมที่ผ่านมาจึงมีสินค้าที่ส่งออกจากกัมพูชาเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากตรวจสอบก็จะพบว่า เป็นสินค้าของจีนที่เข้ามาสวมสิทธิ์การส่งออกสินค้าของกัมพูชาเพื่อให้ได้ประโยชน์จากสิทธิทางภาษี
“ กัมพูชาไม่รู้ตัว เขาคิดว่าเขาเก่งที่สามารถดึงประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐให้มาสนับสนุนตัวเองได้ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่กัมพูชาไปเซ็นกับสหรัฐฯ จะทำให้เกิดปัญหาตามมา การเข้าไปของสหรัฐฯทำให้สินค้าปลอมและสินค้าสวมสิทธิ์ของกัมพูชาถูกตรวจสอบ สหรัฐฯจะมาทำเรื่องศุลกากรให้โปร่งใส กัมพูชาก็จะตายจากข้อกำหนดเหล่านี้ นอกจากนั้นเดิมแม้จะมีการจัดตั้งบริษัทเพื่อบังหน้าธุรกิจสแกมเมอร์ รัฐบาลกัมพูชาก็ไม่ได้สนใจ แต่พอกัมพูชาไปทำข้อตกลงกับสหรัฐฯเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า สหรัฐฯก็กำหนดว่าการทำธุรกิจในกัมพูชาต้องโปร่งใส โดยมีหน่วยงานของสหรัฐฯเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งเท่ากับกัมพูชาเปิดประตูให้สหรัฐฯเข้าไปซักฟอก เข้าไปตรวจสอบเรื่องสแกมเมอร์โดยไม่รู้ตัว คือกัมพูชาไม่รู้ว่าถูกสหรัฐฯหลอกกินตับอยู่ ” รศ.ดร.อัทธ์ ระบุ
รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวต่อว่า ในประเด็นเรื่องความมั่นคง กัมพูชาก็ถูกสหรัฐฯหลอกเช่นกัน โดยรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของตระกูลฮุนคิดว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่กัมพูชาทำเพื่อเอาใจนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นั้นทำให้กัมพูชาได้ใจสหรัฐฯ ส่งผลให้สหรัฐฯยกเลิกคำสั่งห้ามขายอาวุธให้กัมพูชา ทำให้กัมพูชาดีใจว่าจะได้มีอาวุธมาสู้กับไทย แต่กัมพูชาไม่รู้ว่าในการทำสัญญาซื้ออาวุธจากสหรัฐฯนั้นมีข้อห้ามว่า ห้ามนำอาวุธดังกล่าวไปทำร้ายประเทศที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นกองทัพกัมพูชาจึงไม่สามารถนำอาวุธที่ซื้อจากสหรัฐมาใช้ในการสู้รบกับไทยได้
“ งานนี้กัมพูชาโดนหลอกซ้อนหลอก การที่กัมพูชาคิดว่าจะซื้ออาวุธจากสหรัฐฯมาโจมตีไทยก็คงต้องผิดหวัง เพราะสหรัฐฯมีการกำหนดเป็นกฎหมายว่าห้ามประเทศที่ซื้ออาวุธจากสหรัฐนำอาวุธไปต่อสู้กับพันธมิตรของสหรัฐฯ ดังนั้นถ้าทหารไทยพบว่าอาวุธที่ทางกัมพูชาใช้โจมตีไทยเป็นอาวุธที่ซื้อมาจากสหรัฐฯ เราก็ต้องแจ้งไปที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพราะว่าเราเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลเรื่องการขายอาวุธให้ประเทศต่างๆ นั้นสหรัฐฯเปิดเผยผ่านทางเว็บไซต์ของกระทรวงกลาโหมอยู่แล้ว เราสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ” รศ.ดร.อัทธ์ ระบุ
รศ.ดร.อัทธ์ ยังได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและกัมพูชา ภายหลังจากที่กัมพูชาหันไปจับมือกับสหรัฐฯ ว่า การที่กัมพูชาให้ความสำคัญกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณีที่กัมพูชาอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯสามารถใช้ท่าเรือเรียมซึ่งเป็นท่าเรือทางการทหารที่จีนเป็นผู้ลงทุนหลักในการก่อสร้าง ทำให้จีนไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้จีนเริ่มปรับแผนการลงทุนในกัมพูชาจากนี้ไปจนถึงอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในกัมพูชา อาทิ เดิมจีนมีโครงการจะสร้างทางด่วนและรถไฟความเร็วสูงจากพนมเปญไปยังชายแดนไทย และจะสร้างทางด่วนและรถไฟความเร็วสูงจากพนมเปญไปชายแดนเวียดนาม แต่เชื่อว่าทั้งสองโครงการจะถูกระงับ ในขณะที่ปัจจุบันกัมพูชาก็มีปัญหากับไทยและเวียดนาม การสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงดังกล่าวจึงไม่สามารถเชื่อมต่อจากกัมพูชาไปยังไทยและเวียดนามได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จีนจะขับเคลื่อนโครงการนี้
อีกทั้งเชื่อว่าการที่กัมพูชาหันไปให้ความสำคัญกับสหรัฐฯจะส่งผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณของจีนที่จะเข้าไปลงทุนในโครงการขุดคลองฟูนันเตโช (โครงการขุดคลองขนาดใหญ่ของกัมพูชาที่จะเชื่อมต่อแม่น้ำโขงในกรุงพนมเปญกับอ่าวไทย เพื่อลดการพึ่งพิงเส้นทางออกสู่ทะเลของเวียดนาม) ซึ่งมีแผนที่จะเริ่มขุดในปลายเดือนธันวาคม 2568 นี้ โดยล่าสุดมีรายงานข่าวว่าจีนอาจลดบทบาทการลงทุนในโครงการดังกล่าว เนื่องจากโครงการเริ่มมีปัญหาและอาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะเวียดนามมีแผนที่จะสร้างถนนปิดกั้นทางออกทะเลของคลองฟูนันเตโช ซึ่งเท่ากับว่าแม้จะมีคลองดังกล่าวกัมพูชาก็ไม่มีทางออกทางทะเลอยู่ดี
“ ตอนนี้กัมพูชารอวันล่มสลาย แก๊งสแกมเมอร์ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของตระกูลฮุนกำลังถูกนานาประเทศล้อมปราบ ส่วนสหรัฐฯก็กำลังเข้าไปจัดการกัมพูชาโดยกัมพูชาไม่รู้ตัว ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ไทย เวียดนาม หรือลาว ก็ไม่มีใครคบกัมพูชา ส่วนจีนซึ่งผู้ลงทุนรายใหญ่ของกัมพูชาก็ชะลอการลงทุนเพราะไม่พอใจที่กัมพูชาไปสนิทสนมกับสหรัฐฯ กัมพูชาจึงเป็นประเทศที่โดดเดี่ยวและน่าสมเพชเวทนาอย่างยิ่ง ” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว


