จับตา "ทักษิณ ชินวัตร" ใช้ ‘อำนาจ-บารมี’ แบบไม่เป็นทางการวางตัวเป็นศูนย์กลางอำนาจตัวจริง ‘รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว’ ชี้หลังพักโทษครบ ส.ค.นี้ ‘ทักษิณ’ จะเป็นพยัคฆ์ติดปีก นำไปสู่ระบอบทักษิณ 2 ที่ยึดกุมอำนาจได้มากกว่าระบอบทักษิณ 1 เป้าหมายพิสูจน์ศักยภาพที่ต้องสูญหายไป 17 ปี จากการหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการรุกเจรจาผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อแก้วิกฤตในพม่า รวมทั้งการเดินสายปลุกพลังคนรักทักษิณ ‘อีสาน-เหนือ’ พร้อมส่งสัญญาณทุนกาสิโนใครคือผู้มีอำนาจตัวจริง จากนั้นกดปุ่มสั่งการให้ ครม.-เพื่อไทย ทำต่อ มั่นใจครั้งนี้ปิดจุดอ่อนระบอบทักษิณ 1 ที่เป็นต้นเหตุรัฐประหารได้!
สังคมไทยต้องจับตาทุกก้าวย่างของนายทักษิณ ชินวัตร หลังพักโทษครบ 6 เดือนเรียบร้อยแล้ว ก็จะพ้นโทษในช่วงเดือน ส.ค.2567 ถึงวันนั้นเขาจะเป็นพยัคฆ์ติดปีก และนำไปสู่การฟื้นระบอบทักษิณ 2 ได้อย่างเบ็ดเสร็จใช่หรือไม่?
แม้ในช่วงพักโทษทั้งที่เขาไม่มีตำแหน่งใดๆ อย่างเป็นทางการไม่ว่าจะใน ครม.หรือในพรรคเพื่อไทย ยกเว้นในฐานะ ‘พ่อ’ ของแพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่เขายังสำแดงอำนาจบารมีให้เป็นที่ประจักษ์ได้เช่นกัน
โดยเฉพาะการไปเจรจากับผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์หลังเกิดปัญหาในพม่า หรือการเดินทางไปภูเก็ต โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการมารายงานเรื่องราวในพื้นที่ภูเก็ต เป็นต้น
ดังนั้น ทุกย่างก้าวที่นายทักษิณ กำลังเดินอยู่นั้นจึงเป็นเรื่องที่สังคมต้องหาคำตอบ...
รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว รองคณบดี คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา บอกว่า การเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร เชื่อว่ามีนัยสำคัญและบ่งชี้ให้เห็นว่า ระยะเวลาที่เขาต้องเป็นนักโทษหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศถึง 17 ปีนั้น ได้สูญเสียอะไรไปบ้าง เขาถึงเคลื่อนไหวแบบไม่ได้เกรงสายตาของฝ่ายที่ไม่ชอบเขา และยังตอกย้ำด้วยว่า เมื่อไม่ชอบก็ต่างคนต่างอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยประสบการณ์ที่เห็นโลกกว้าง คอนเนกชันต่างๆ มากล้น และอำนาจบารมีที่มีอยู่สามารถกดปุ่ม หรือทำอะไรได้โดยไม่ต้องมีตำแหน่งใน ครม.ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีต่างประเทศได้โดยง่าย
“คุณทักษิณ เรียนรู้จุดอ่อนในระบอบทักษิณ 1 มาแล้ว เป็นเหตุให้ต้องคดี ซึ่งเป็นผลจากการมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ วันนี้ถึงเดินทุกอย่างโดยไม่ต้องมีตำแหน่ง แต่ด้วยอำนาจ บารมีที่มีอยู่เขาถึงทำได้ อย่างเช่นไปคุยกับชนกลุ่มน้อย ผมว่าเขายังไม่ทำ MOU เพราะถ้าถึงขั้นจะมีการทำ MOU ก็ค่อยมาสั่งให้นายกฯ เศรษฐา หรือรัฐมนตรีต่างประเทศที่มีตำแหน่งเป็นคนไปดำเนินการต่อ”
รศ.ดร.โอฬาร ย้ำว่า ช่วงที่นายทักษิณ ไปพูดคุยกับผู้นำกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์เพื่อแก้ไขวิกฤตพม่านั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน ช่วงสงกรานต์ ซึ่งเราเห็นเขาเงียบ แต่ไม่รู้ว่าเขาหลบไปคุยกับผู้นำชนกลุ่มน้อยในพม่าตอนไหน เราเพิ่งมารู้ข่าวจากสื่อโซเชียลที่นำมาลง โดยที่ฝ่ายความมั่นคงไม่ออกมาพูดแต่อย่างใด
ส่วนนายกรัฐมนตรี เศรษฐา และรัฐมนตรีต่างประเทศก็ตอบคำถามสื่อต่างๆ เหมือนไม่ทราบเรื่องนี้ พร้อมกับบอกอีกว่านายทักษิณ เป็นบุคคลที่กว้างขวาง ทางพม่าจึงอาจมองว่านายทักษิณ สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ ถือเป็นการพูดคุยส่วนตัวไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
“ย้อนไปดูช่วงที่คุณทักษิณ ไปภูเก็ต ผมได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากเพื่อนๆ ที่ภูเก็ต ได้รับคำตอบว่า คนในพื้นที่บอกคุณทักษิณ เดินทางมาที่นี่ เพื่อมาดูที่ตั้ง ‘บ่อนกาสิโน’ ซึ่งที่นี่มีความเหมาะสมมาก ยังเล่าด้วยว่าคนพื้นที่ก็ลือกันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางมาที่ประเทศสิงคโปร์เกือบทุกครั้ง ก็จะเข้ามาพักที่จังหวัดภูเก็ตเช่นกัน”
รศ.ดร.โอฬาร ระบุอีกว่า การเคลื่อนไหวของนายทักษิณ สะท้อนให้เห็นว่าเขาสามารถคุมอำนาจในการบริหาร ก็คือคุมรัฐบาลเศรษฐา ได้ ซึ่งปรากฏให้เห็นในการแต่งตั้งคนที่เข้าไปเป็นรัฐมนตรี หรือการตั้งรัฐบาลผสมแม้จะมีเรื่องการยอมให้ขั้วอำนาจเก่าเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม
“มองกันชัดๆ เรื่องเจรจาชนกลุ่มน้อย คุณทักษิณ อยู่เหนือกว่านายกฯ เศรษฐา และเหนือกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่จริงๆ นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีต่างประเทศต้องลาออกไปก็ได้”
นี่คือสิ่งที่นายทักษิณ ได้แสดงให้สังคมได้เห็นถึงอำนาจแบบไม่เป็นทางการ ไม่ต้องรับผิดชอบในทางกฎหมาย แต่มีอำนาจสั่งการได้ทุกอย่าง
นอกจากนี้ เขายังสามารถคุมอำนาจในรัฐสภาได้เช่นกัน โดยเชื่อว่าจากการเปิดอภิปรายที่ผ่านมา ต้องมีการพูดคุยกับฝ่ายค้านคือพรรคก้าวไกล เรียบร้อยแล้ว เพราะถ้าปล่อยให้มีการอภิปรายแบบไม่มีดรามา ก็อาจจะส่งผลเสียคือพรรคร่วมรัฐบาลอาจเห็นคล้อยตาม พร้อมไปเทคะแนนให้ฝ่ายค้าน จะส่งผลต่อพรรคเพื่อไทยโดยตรง การเคลียร์กับพรรคก้าวไกล ก็เพราะนายทักษิณ ไม่ไว้ใจกลุ่มอำนาจเก่าอยู่แล้ว อีกทั้งในช่วงรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคก้าวไกลก็ถล่มเต็มที่ ซึ่งมันต่างกับรัฐบาลเศรษฐา
เมื่อมองไปยัง ส.ว.ที่เคยเป็นไม้ค้ำยันให้ขั้วอำนาจเก่า ก็กำลังจะหมดอำนาจลง และเชื่อว่านายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยต้องหาทางสกัด ส.ว.ขั้วอำนาจเก่าเช่นกัน
ส่วนสถาบันตุลาการมีการรุกคืบเข้าไปซึ่งเชื่อว่า นายทักษิณ คุมได้เช่นกัน สิ่งที่สะท้อนว่าเขาคุมได้ก็มาจากความล้มเหลว และความเสื่อมศรัทธาของคนต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีอยู่เป็นทุนเดิม แต่นายทักษิณ เข้ามาซ้ำเติมเข้าไปอีก
รศ.ดร.โอฬาร บอกว่า อยากจะเชิญชวนสังคมคิดไปพร้อมๆ กัน ว่าก่อนหน้านี้เรากลัวระบอบทักษิณ ซึ่งหมายถึงระบอบการเมืองที่ทักษิณ มีอำนาจเต็ม จนเป็นที่มาให้เกิดการรัฐประหาร และทักษิณ ต้องหนีออกนอกประเทศ และวันนี้นายทักษิณ กลับมาแล้ว โดยเลือกที่จะเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบไม่เป็นทางการ แต่สามารถสั่งการได้ประหนึ่งมีอำนาจอย่างเป็นทางการไปแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ยังไปคอยต้อนรับซึ่งมันดูย้อนแย้งในโครงสร้างอำนาจของสังคไทยมาก ทั้งๆ ที่เขาอยู่ในระหว่างพักโทษ
“คุณทักษิณ เรียนรู้จุดอ่อนและได้บทเรียนจากระบอบทักษิณ 1 ที่ผ่านมา ว่าถ้าจะคุมอำนาจเบ็ดเสร็จจริงๆ ต้องควบคุมด้านความมั่นคงให้ได้ โดยเฉพาะกองทัพ เพื่อไทยจึงต้องไปลด ไปจัดกำลังพลกันใหม่ รวมไปถึงต้องมีกฎหมายจัดการพวกทำรัฐประหารด้วย ส่วนตำรวจคุมได้อยู่แล้ว”
อย่างไรก็ดี ปรากฏการณ์การทางการเมืองที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ชี้ให้เห็นว่านายทักษิณ ต้องการสะท้อนให้เห็นว่า เขาคือศูนย์กลางอำนาจที่ใครก็ต้องนึกถึง เขาจึงจำเป็นต้องเดินสายไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อเรียกคะแนนนิยมกลับมาให้พรรคเพื่อไทยกวาดคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ได้ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ เพื่อไทยต้องครองให้ได้มากที่สุด
“เขาปลุกเสียงได้มากเท่าไหร่ อำนาจเบ็ดเสร็จจะอยู่กับเพื่อไทย หรือตัวอย่างนายทุนกาสิโนถ้าอยากจะเข้ามาตั้งจริงๆ จะวิ่งเข้าหาใคร จากนั้นเขาแค่สั่งการต่อเท่านั้น”
รศ.ดร.โอฬาร ย้ำว่า นี่คือระบอบทักษิณ 2 กำลังจะเกิดขึ้น คือยึด 3 เสาหลัก และหน่วยความมั่นคงให้ได้ ซึ่งสังคมต้องจับตาหลังพักโทษครบในช่วง ส.ค.นี้ ว่าเขาจะรุกคืบเพื่อควบคุมให้ได้อย่างไร
“ผมประเมินว่าอำนาจเก่าทำอะไรไม่ได้ เพราะตกอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถต่อรองได้ ไม้ตายของขั้วอำนาจเก่ามีแค่รัฐประหารอย่างเดียวที่จะจัดการเขาได้ แต่ด้วยสถานการณ์ เหตุผล และความจำเป็นยังมาไม่ถึงที่จะทำรัฐประหาร ถ้าทำเสื้อแดง เสื้อส้ม รวมพลังกันจะคุมสถานการณ์ได้ยาก”
ขณะเดียวกัน การที่นายทักษิณ เคลื่อนไหวไปถึงเรื่องของพม่า ส่วนตัวเชื่อว่าด้วยประสบการณ์ในเวทีสากล ได้พบได้เห็นว่าคนชั้นนำในระดับโลกวางตัวกันอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่นายทักษิณ ไปเจรจากับผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อแก้ไขวิกฤตพม่า จึงเป็นการชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เขาสูญไปในช่วง 17 ปี ในเวทีโลกจะเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อเขากลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง โดยเขาสามารถกดปุ่มสั่งการบริหารภายในประเทศผ่านพรรคเพื่อไทย และ ครม.หากต้องเกี่ยวข้องกับอำนาจที่เป็นทางการได้อยู่แล้ว!
สำหรับปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเศรษฐา กับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น รศ.ดร.โอฬาร บอกว่า เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ปลดผู้ว่าการ ธปท.แต่จะให้อยู่จนครบวาระ ในปี 2568 และจะไม่มีการต่ออีกวาระหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี ติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 วาระ
“คิดว่าไม่ปลด ให้อยู่จนครบวาระ เป็นวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งรูปแบบหนึ่ง ถ้าไปปลดตอนนี้เพื่อไทยจะโดนถล่มหนัก”
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสปลดเลย เพียงแต่ว่าเมื่อได้รัฐมนตรีคลังคนใหม่ คือนายพิชัย ชุณหวชิร ซึ่งเคยเป็นกรรมการ ธปท.มาแล้ว หากจะมีการปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ก็หมายความว่า ครม.ไม่ได้ตัดสินใจโดยพลการ เพราะมีสารตั้งต้นให้สังคมได้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ใช่เรื่องขัดแย้งระหว่างนายเศรษฐา กับนายเศรษฐพุฒิ แน่นอน
จากนี้ไปสังคมต้องจับตาความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร จะเป็นพยัคฆ์ติดปีก จนนำไปสู่ระบอบทักษิณ 2 ได้ จริงหรือไม่!?
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j